ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ฝ่ายสันสกฤต

แบ่งปันในสังคมออนไลน์

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ฝ่ายสันสกฤต
คัดจากบางส่วนจาก
ธรรมจักรประวรรตนสูตร
พระคัมภีร์ลลิตวิสตร อัธยายที่ ๒๖
ธรรมจักรประวรรตนปริวรรต


คำนำ

“ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” หรือ “ธรรมจักรประวรรตนสูตร”  มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่าง และเสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยสายกลางอันเป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 คืออริยมรรคมีองค์ 8 โดยเริ่มจากทำความเห็นให้ถูกทางสายกลางก่อน เพื่อดำเนินตามขั้นตอนการปฏิบัติรู้เพื่อละทุกข์ทั้งปวง เพื่อความดับทุกข์ อันได้แก่นิพพาน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา

นับเป็นพระสูตรที่สำคัญมากต่อพระพุทธศาสนา  เพราะแม้จะเกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันในการสังคายนาพระธรรมวินัยจนเกิดการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ถึง 18-20 นิกายในช่วงตั้งแต่ราว 100 ปีหลัง พุทธกาลเป็นต้นมาก็ตาม แต่พระสูตรนี้ยังคงสืบทอดต่อกันมาในคัมภีร์ของนิกายต่างๆจนถึงในปัจจุบัน โดยนักวิชาการสามารถรวบรวมได้ถึง 23 คัมภีร์ ปรากฏทั้งฝ่ายสาวกยานและมหายาน และต้นฉบับภาษาบาลี สันสกฤต จีนและธิเบต อีกทั้งแปลออกไปในภาษาอื่นๆอีกทั่วโลก  [อ่านเพิ่มเติ่ม ที่อ้างอิง 2]

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ฝ่ายสันสกฤต หรือ ธรรมจักรประวรรตนสูตร ที่จะนำเสนอนี้ คัดจากบางส่วนจาก พระคัมภีร์ลลิตวิสตร ซึ่งแต่เดิมพระคัมภีร์นี้เป็นพุทธประวัติฝ่ายสาวกยาน นิกายสรรวาสติวาท หรือ นิกายสัพพัตถิกวาท ต่อมาฝ่ายมหายานได้นำเป็นเป็นคัมภีร์ศักสิทธิ์ของตน

ธรรมจักรประวรรตนสูตร มาจากพระคัมภีร์ลลิตวิสตร อัธยายชื่อ ธรฺมจกฺรปฺรวรฺตนปริวรฺตะ ษฑฺวึศะ หรือ ธรรมจักรประวรรตนปริวรรต (การหมุนจักรคือธรรม) อันเป็น อัธยายที่ 26 ว่าด้วยการแสดงธรรมจักรแก่ภัทรวรรคียทั้งห้า แปลเป็นภาษาไทยโดย ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร เปรียญ และเพิ่มเติมคำอธิบายบางส่วน เช่น อธิบายสำนวนแปลทับศัพท์สันสกฤต เพิ่มเติมจากผู้เรียบเรียง ดังจะนำเสนอต่อไปนี้

กฺว ภควานฺ ธรฺมจกฺรํ ปฺรวรฺติษฺยตีติ?
ข้าแต่พระผู้มีภาค พระองค์จะหมุนจักรคือธรรม ณ ที่ไหน?

วาราณสฺยามฤษิปตเน มฤคทาเวฯ
ตถาคตจักไปที่พาราณสี ที่ป่าฤษิปตนะมฤคทาวะ

วาราณสีํ คมิษฺยามิ คตฺวา ไว กาศินํา ปุรีมฺฯ
ธรฺมจกฺรํ ปฺรวรฺติษฺเย โลเกษฺวปฺรติวรฺติตมฺ ๚
ตถาคตไปบุรีของชาวกาศีทั้งหลายแล้ว
จะไปพาราณสีจะหมุนจักรคือธรรมซึ่งไม่มีใครหมุนในโลก

โส’ยํ ทฤฒปฺรติชฺโญ วาราณสิมุปคโต มฤคทาวมฺฯ
จกฺรํ หฺยนุตฺตรมเสา ปฺรวรฺตยิตาตฺยทฺภุตํ ศฺรีมานฺ๚
ผู้นี้นั้น มีปฏิญญามั่นคง เสด็จเข้าไปยังป่ามฤคทาวะในมหานครพาราณสี
พระองค์ผู้เจริญ หมุนจักรสูงสุดซึ่งไม่เคยมีแล้ว ฯ

ยะ โศฺรตุกามุ ธรฺมํ ยะ กลฺปนยุไตะ สมารฺชิตุ ชิเนนฯ
ศีฆฺรมเสา ตฺวรมาโณ อาคจฺฉตุ ธรฺมศฺรวณาย๚
ผู้ใดใคร่ฟังธรรม ผู้ใดร่วมด้วยพระชินตั้งหมื่นกัลป ผู้นั้นจงรีบมาเร็วๆเพื่อฟังธรรม ฯ


ปณามคาถาพระคัมภีร์ลลิตวิสตร

๚ โอํ นโม ทศทิคนนฺตาปรฺยนฺตโลกธาตุ-
ปฺรติษฺฐิตสรฺวพุทฺธโพธิสตฺตฺวารฺยศฺราวกปฺรตฺเยกพุทฺเธภฺโย ’ ตีตานาคตปฺรตฺยุตฺปนฺเนภฺยะ๚

ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ พระอริยสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน
อันประดิษฐานดำรงอยู่ในโลกธาตุ
อันไม่มีเขตสุด และไม่มีขอบเขตในทิศทั้ง 10


ธรรมจักรประวรรตนสูตร
พระสูตรว่าการหมุนธรรมจักร

อิติ หิ ภิกฺษวสฺตถาคโต ราตฺรฺยาะ ปฺรถเม ยาเม ตูษฺณีภาเวนาธิวาสยติ สฺมฯ ราตฺรฺยา มธฺยเม ยาเม สํรญฺชนียํา กถํา ปฺรวรฺตยติ สฺมฯ ราตฺรฺยาะ ปศฺจิเม ยาเม ปญฺจกานฺ ภทฺรวรฺคียานามนฺตฺรฺไยตทโวจตฺ – ทฺวาวิเมา ภิกฺษวะ ปฺรวฺรชิตสฺยานฺตาวกฺรเมาฯ

กระนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตรับเชิญด้วยภาวะนิ่งในประถมยามแห่งราตรียังถ้อยคำให้เกิดความจับใจในมัชฌิมยามแห่งราตรี ได้เรียกภัทรวรรคียทั้งห้ามาในปัจฉิมยามแห่งราตรีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การหยั่งลงถึงที่สุด(จุดหมายปลายทาง) ของบรรพชิตมี 2 อย่างนี้ คือ

ปัญจวัคคีย์

ยศฺจ กาเมษุ กามสุขลฺลิกา โยโค หีโน คฺรามฺยะ ปารฺถคฺชนิโก นาลมารฺโย’นรฺโถปสํหิโต นายตฺยํา พฺรหฺมจรฺยาย น นิรฺวิเท น วิราคาย น นิโรธาย นาภิชฺญาย น สํโพธเย น นิรฺวาณาย สํวรฺตเตฯ

กาเมษุ กามสุขลฺลิกา * ความชุ่มอยู่ด้วยความสุขทางกามในกามทั้งหลายเป็นเครื่องเสพติด (โยคะ) ต่ำช้า(หีน) เป็นของชาวบ้าน(คฺรามยฺ) เป็นของชนสามานย์(ปารฺถคฺชนิก) ไม่เป็นอลมารยะ** ประกอบด้วยสิ่งมิใช่ประโยชน์(อนรฺถ)ไม่เป็นไปเพื่อพรหมจรรย์ในอนาคต ไม่เป็นไปเพื่อความเหนื่อยหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อวิราคะ(ปราศจากความกำหนัด) ไม่เป็นไปเพื่อนิโรธ(ความดับสนิท) ไม่เป็นเพื่ออภิชญา(ความรู้ยิ่ง)ไม่เป็นไปเพื่อสัมโพธิ (ความตรัสรู้) ไม่เป็นไปเพื่อนิรวาณ ***

* บาลีว่า กามสุขลฺลิกานุโยโค หรือ กามสุขัลลิกานุโยค
** อลมารฺยะ คือ ชญาน หรือ ญาณ ของพระอารยะที่รู้ว่าพอแล้ว เต็มที่แล้ว
*** บาลีว่า นิพพาน

ยา เจยมมธฺยมา ปฺรติปทา อาตฺมกายกฺลมถานุโยโค ทุะโข’นรฺโถปสํหิโต ทฤษฺฏธรฺมทุะขศฺจายตฺยํา จ ทุะขวิปากะฯ

และอาตฺมกายกฺลมถานุโยค* การประกอบเนืองๆในการทรมานกายของตน นี้เป็นประติปทา**(แนวทางประติบัท***) ไม่ใช่ทางสายกลาง เป็นทุกข์ ประกอบด้วยสิ่งมิใช่ประโยชน์ เป็นทุกข์ในปรัตยุบัน**** และมีผลเป็นทุกข์ในอนาคต

*บาลีว่า อตฺตกิลมถานุโยโค หรือ อัตตกิลมถานุโยค
**บาลีว่า ปฏิปทา
สำนวนแปลปกติคือ  ** ปฏิบัติ   
**** ปัจจุบัน

เอเตา จ ภิกฺษโว ทฺวาวนฺตาวนุปคมฺย มธฺยมไยว ปฺรติปทา ตถาคโต ธรฺมํ เทศยติ-ยทุต

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบรรพชิตไม่เข้าถึงที่สุด ๒ อย่างนี้แล้ว ตถาคตแสดงธรรมเป็นประติปทาทางสายกลางแท้เทียว นั่นคือ

สมฺยคฺทฤษฺฏิะ
สัมยัคทฤษฏิ(เห็นชอบ) [1]
สมฺยกฺสํกลฺปะ
สัมยักสํกัลปะ(ดำริชอบ)[2]
สมฺยคฺวากฺ
สัมยัควาก(เจรจาชอบ)[3]
สมฺยกฺกรฺมานฺตะ
สัมยักกรรมานตะ(ทำการงานชอบ)[4]
สมฺยคาชีวะ
สัมยคาชีวะ(เลี้ยงชีวิตชอบ)[5]
สมฺยคฺวฺยายามะ
สัมยัควยายามะ(พยายามชอบ)[6]
สมฺยกฺสฺมฤติะ
สัมยักสมฤติ(ตั้งสมฤติชอบ)[7]
สมฺยกฺสมาธิริติฯ
สัมยักสมาธิ(มีสมาธิชอบ)[8]

สำนวนแปลบาลีว่า [1]สัมมาทิฐิ  (ความเห็นที่ถูกต้อง) [2]สัมมาสังกัปปะ (ความคิดที่ถูกต้อง) [3]สัมมาวาจา (วาจาที่ถูกต้อง) [4]สัมมากัมมันตะ (การปฏิบัติที่ถูกต้อง) [5]สัมมาอาชีวะ (การหาเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง) [6]สัมมาวายามะ (ความเพียรที่ถูกต้อง)  [7]สัมมาสติ (การมีสติที่ถูกต้อง) [8]สัมมาสมาธิ (การมีสมาธิที่ถูกต้อง) 

จตฺวารีมานิ ภิกฺษว อารฺยสตฺยานิฯ กตมานิ จตฺวาริ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อารยสัตย์ทั้งหลายเหล่านี้มี 4 อย่าง อารยสัตย์ 4 อย่างคืออะไรบ้าง?

สำนวนแปลบาลี ว่า อริยสัจ

ทุะขํ ทุะขสมุทโย ทุะขนิโรโธ ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปตฺฯ 
คือทุะขะ (ทุกข์) ทุะขสมุทยะ **(เหตุเป็นแดนเกิดทุกข์) ทุะขนิโรธ *** (ความดับทุกข์) ทุะขนิโรธคามินีประติปัต ****(ข้อประติบัทอันถึงความดับทุกข์) ในทั้ง 4 อย่างนี้

ทุกข์   ในรูปบาลี ใช้ ทุกฺข  (ออกเสียง ว่า ทุกขะ)  และใช้ทับศัพท์ในภาษาไทยว่า  ทุกข์ (ออกเสียง ว่า ทุก)
และส่วนสันสกฤต ใช้  ทุะข (ออกเสียง ว่า ทุฮุขะ )   โดย วิสรรชนีย์ (ะ) ที่ตามหลัง ทุ นั้นไม่ใช่สระอะ แต่เป็นเครื่องหมาย วิสรรคกำกับเสียงสะท้อน (echo) เมื่อใช้ทับศัพท์สันสกฤตในภาษาไทยในสำนวนแปลแบบคงรูปศัพท์เดิม นั้น ใช้ ทุะข ตามรูปเดิม  หรือ ทุะขะ หากผู้ไม่ได้ศึกษามาก่อนก็ อาจจะสับสน ไม่สามารถออกเสียงได้ แต่ในปัจจุบันใช้  ห์ แทนเครื่องหมาย วิสรรค  เมื่อ ใช้ทับศัพท์สันสกฤตในภาษาไทย จาก ทุะขะ เป็น ทุห์ขะ หรือ ทุห์ข

 สำนวนแปลบาลี ว่า  ** ทุกขสมุทัย  ***ทุกขนิโรธ  ****ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

ตตฺร กตมทฺ ทุะขมฺ?
ทุะข (ทุกข์) เป็นอย่างไร

ชาติรปิ ทุะขํ ชราปิ ทุะขํ วฺยาธิรปิ ทุะขํ มรณมปิ อปฺริยสํปฺรโยโค’ปิ ปฺริยวิปฺรโยโค’ปิ ทุะขมฺฯ ยทปิ อิจฺฉนฺ ปรฺเยษมาโณ น ลภเต ตทปิ ทุะขมฺฯ
ชาติ(ความเกิด) ก็เป็นทุกข์ ชรา(ความแก่) ก็เป็นทุกข์ พยาธิ(ความป่วยไข้) ก็เป็นทุกข์ มรณะ(ความตาย)ก็เป็นทุกข์ อปฺริยสัมประโยค*(ประสบสิ่งที่ไม่รัก) ปฺริยวิประโยค**(พรากจากสิ่งที่รัก) ก็เป็นทุกข์ อยากได้สิ่งใดแสวงหาไม่ได้ นั่นก็เป็นทุกข์

*บาลีว่า อปฺปิเยหิ สมฺปโยโค ( ความประสบพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ)
**บาลีว่า ปิเยหิ วิปฺปโยโค (ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ)

สํเกฺษปาตฺ ปญฺโจปาทานสฺกธา ทุะขมฺฯ อิทมุจฺยเต ทุะขมฺฯ
โดยย่อแล้วอุปาทานสกันธทั้ง 5 เป็นทุกข์ นี่ตถาคตเรียกว่า ทุะข ในทั้ง 4 อย่างนั้น

สำนวนแปลบาลีว่า อุปาทานขันธ์

ตตฺร กตโม ทุะขสมุทยะ?
ทุะขสมุทยะ*(เหตุเป็นแดนเกิดทุกข์) เป็นอย่างไร

สำนวนแปลบาลี ว่า ทุกขสมุทัย หรือในรูปทับศัพท์สันสกฤต อีกรูปคือ ทุห์ขสมุทย

เยยํ ตฤษฺณา เปานรฺภวิกี นนฺทีราคสหคตา ตตฺรตตฺราภินนฺทินี อยมุจฺยเต ทุะขสมุทยะฯ
ตฤษณานี้ เปานรรภวิกี** (ประกอบด้วยการเกิดในภพใหม่) นันทีราคสหคตา***(ประกอบด้วยความยินดีและความกำหนัด)
ตัตระตัตราภินันทินี**** (มีความยินดีในอารมณ์นั้นๆ) นี่ตถาคตเรียกว่า ทุะขสมุทยะ ในทั้ง 4 อย่างนั้น

บาลีว่า ตัณหา ( ความทะยานอยาก)
** เปานรรภวิกี แปลอีกนัยหนึ่งว่า ประกอบด้วยความมีซ้ำคือมีแล้วอยากมีอีกไม่สิ้นสุด  ในบาลีว่า โปโนพฺภวิกา (ทำให้มีภพอีก)
***  บาลีว่า นนฺทิราคสหคตา ( เป็นไปกับความกำหนัด ด้วยอนาจความเพลิดเพลิน )
***บาลีว่า ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ( เพลินยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ )

ตตฺร กตโม ทุะขนิโรธะ?
ทุะขนิโรธ* (ความดับทุกข์)เป็นอย่างไร?

สำนวนแปลบาลี ว่า ทุกขนิโรธ  หรือในรูปทับศัพท์สันสกฤต อีกรูปคือ  ทุห์ขนิโรธ

โย’สฺยา เอว ตฤษฺณายาะ ปุนรฺภวิกฺยา นนฺทีราคสหคตายาสฺตตฺรตตฺราภินนฺทินฺยา ชนิกายา นิรฺวรฺติกายา อเศโษ วิราโค นิโรธะ อยํ ทุะขนิโรธะฯ
ความปราศจากราคะโดยไม่เหลือคือความดับสนิทซึ่งตฤษณาอันประกอบด้วยการเกิดในภพใหม่นี้ ตฤษณานี้ประกอบด้วยความยินดีและความกำหนัด มีความยินดีในอารมณ์นั้นๆ ทำให้สิ่งอื่นๆ เกิดขึ้นยังจะต้องกลับมาอีก นี่ตถาคตเรียกว่า ทุะขนิโรธ ในทั้ง 4 อย่างนั้น

ตัณหา 

ตตฺร กตมา ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปตฺ?
ทุะขนิโรธคามินีประติปัต* (ข้อปฏิบัติอันถึงความดับทุกข์) เป็นอย่างไร

สำนวนแปลบาลี ว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือในรูปทับศัพท์สันสกฤต อีกรูปคือ ทุห์ขนิโรธคามินีประติปัต  ทุห์ขนิโรธคามินีประติปทา

เอษ เอวารฺยาษฺฏางฺคมารฺคะฯ ตทฺยถาฯ สมฺยคฺทฤษฺฏิรฺยาวตฺสมฺยกฺสมาธิริติฯ อิทมุจฺยเต ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปทารฺยสตฺยมิติฯ
อารยมรรค*  มีองค์ 8 นี้แหละ นั่นคือ สัมยัคทฤษฏิ จึงถึงสัมยักสมาธิ นี่ตถาคตเรียกว่า ทุขนิโรธคามินีประติปัต

บาลีว่า อริยมคฺค สำนวนแปลบาลี ว่า อริยมรรค ( “อริย”  เป็นบาลี + “มรรค”  เป็นสันสกฤต )  หรือ อริยมัคค์  ก็ว่า

อิมานิ ภิกฺษวศฺจตฺวารฺยารฺยสตฺยานิฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี่คือ อารยสัตย์ 4 เพราะฉะนั้น

อิติ ทุะขมิติ เม ภิกฺษวะ ปุรฺวมศฺรุเตษุ ธรฺเมษุ โยนิโศมนสิการาทฺพหุลีการาชฺชฺญานมุตฺปนฺนํ จกฺษุรุตฺปนฺนํ วิทฺโยตฺปนฺนา ภูริรุตฺปนฺนา เมโฆตฺปนฺนา ปฺรชฺโญตฺปนฺนา อาโลกะ ปฺราทุรฺภูตะฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า นี่คือ ทุะข   ชญานก็เกิดขึ้น จักษุ** ก็เกิดขึ้น วิทยาก็เกิดขึ้น ภูริ(ปรัชญาหนาแน่น)ก็เกิดขึ้น
เมธา(ปรัชญาเฉลียวฉลาด)ก็เกิดขึ้น ปรัชญา(ความรอบรู้)ก็เกิดขึ้น อาโลกะ(แสงสว่าง) ก็ปรากฏขึ้น เพราะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะกระทำมากในธรรมทั้งหลายที่ตถาคตยังไม่เคยได้ยิน

สำนวนแปลบาลี ว่า  ญาณ หรือ ความหยั่งรู้    **จักขุ หรือ ดวงตา ในที่นี้คือดวงตาเห็นธรรม  วิชชา หรือ การรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง  **ปัญญา หรือ การรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน

อยํ ทุะขสมุทย อิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรุเตษุ ธรฺเมษุ โยนิโศมนสิการาทฺพหุลีการาชฺชฺญานมุตฺปนฺนํ จกฺษุรุตฺปนฺนํ วิทฺโยตฺปนฺนา ภูริรุตฺปนฺนา เมโฆตฺปนฺนา ปฺรชฺโญตฺปนฺนา อาโลกะ ปฺราทุรฺภูตะฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่านี่คือ ทุะขสมุทยะ ชญานก็เกิดขึ้น จักษุก็เกิดขึ้น วิทยาก็เกิดขึ้น ภูริก็เกิดขึ้น เมธาก็เกิดขึ้น ปรัชญาก็เกิดขึ้น อโลกะก็ปรากฏขึ้น เพราะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะกระทำมากในธรรมทั้งหลายที่ตถาคตยังไม่เคยได้ยิน

อยํ ทุะขนิโรธ อิติ เม ภิกฺษวะ สรฺวํ ปูรฺววทฺยาวทาโลกะ ปฺราทุรฺภูตะฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า นี่คือ ทุะขนิโรธ ฯลฯ อาโลกะก็ปรากฏขึ้น เพราะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฯลฯ

อิยํ ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปทิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺววเทว เปยาลํ ยาวทาโลกะ ปฺราทุรฺภูตะฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนิโรธคามินีประติบัต นี้ ตนควรรู้ ฯลฯ อาโลกะก็ปรากฏขึ้น ฯลฯ

ยตฺขลฺวิทํ ทุะขํ ปริชฺเญยมิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺววเทว เปยาลํ ยาวทาโลกะ ปฺราทุรฺภูตะฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขะนี้ ตนควรรู้ ฯลฯ อาโลกะก็ปรากฏขึ้น ฯลฯ

ส ขลฺวยํ ทุะขสมุทยะ ปฺรหาตวฺย อิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรเตษุ ธรฺเมษุ สรฺวํ ยาวทาโลก อิติฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขสมุทยะนี้ ตนพึงละ ฯลฯ อาโลกะก็ปรากฏขึ้น ฯลฯ

ส ขลฺวยํ ทุะขนิโรธะ สากฺษาตฺกรฺตวฺย อิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺววทฺยาวทาโลก อิติฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนิโรธนี้ ตนถึงทำให้ปรากฏ ฯลฯ อาโลกะก็เกิดขึ้น ฯลฯ

สา ขลฺวิยํ ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปทฺภาวยิตวฺเยติ ปูรฺววทฺยาวทาโลก อิติฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนิโรธคามินีประติปัตนี้ ตนพึงเจริญให้มีขึ้น ฯลฯ

ตตฺขลฺวิทํ ทุะขํ ปริชฺญาตมิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรเตษุ อิติ เปยาลมฺฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนี้ตนรู้แล้ว ฯลฯ

ส ขลฺวยํ ทุะขสมุทยะ ปฺรหีณ อิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรุเตติ เปยาลมฺฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขสมุทยะนี้ ตนละได้แล้ว

ส ขลฺวยํ ทุะขนิโรธะ สากฺษาตฺกฤต อิติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรุเตติ เปยาลมฺฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนิโรธนี้ ตนทำให้ปรากฏแล้ว

สา ขลฺวิยํ ทุะขนิโรธคามินี ปฺรติปทฺภาวิเตติ เม ภิกฺษวะ ปูรฺวมศฺรุเตษุ ธรฺเมษุ โยนิโศมนสิการาทฺพหุลีการาชฺชฺญานมุตฺปนฺนํ จกฺษุรุตฺปนฺนํ ภูริรุตฺปนฺนา วิทฺโยตฺปนฺนา เมโธตฺปนฺนา ปฺรชฺโญตฺปนฺนา อาโลกะ ปฺราทูรฺภูตะ๚

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อรู้ว่า ทุะขนิโรธคามินีประติปัต ตนได้เจริญให้มีขึ้นแล้ว ชญานก็เกิดขึ้น จักษุก็เกิดขึ้น วิทยาก็เกิดขึ้น ภูริก็เกิดขึ้น เมธาก็เกิดขึ้น ปรัชญาก็เกิดขึ้น อาโลกะก็ปรากฏขึ้น เพราะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะกระทำมากในธรรมทั้งหลายที่ตถาคตยังไม่เคยได้ยิน

อิติ หิ ภิกฺษโว ยาวเทว เม เอษุ จตุรฺษฺวารฺยสตฺเยษุ โยนิโศ มนสิ กุรฺวโต เอวํ ตฺริปริวรฺตํ ทฺวาทศาการํ ชฺญานทรฺศนมุตฺปทฺยเต,
กระนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชญานทรรศนะ*(การเห็นด้วยชญาน) ในอารยสัตย์ทั้ง 4 นี้เวียน 3 รอบ มี 12 อาการอย่างนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคตผู้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน

* บาลีว่า ญาณทสฺสนํ  สำนวนแปลบาลี ว่า ญาณทัสสนะ หรือ ญาณทัศนะ  คือการเห็นแจ้งรู้จริงในอริยสัจ 4 ครบวนรอบ 3 มีอาการ 12 (ติปริวฏฺฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ)  ดูเพิ่มเติมในเรื่อง ญาณ 3 ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

น ตาวทหํ ภิกฺษโว’นุตฺตรํา สมฺยกฺสํโพธิมภิสํพุทฺโธ’สฺมิ อิติ ปฺรติชฺญาสิษมฺฯ น จ เม ชฺญานทรฺศนมุตฺปทฺยเตฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตยังไม่ประติชญา(ให้คำมั่นสัญญา) ว่า ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิแล้ว ตราบใด ชญานทรรศนะยังไม่เกิดข้นแก่ตถาคต

*  บาลี : ปฏิญฺญา , ภาษาไทย นำมาใช้ว่า ปฏิญญา [ปะตินยา]  หมายถึง น. การให้คํามั่นสัญญาหรือการแสดงยืนยันโดยถือเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความสุจริตใจเป็นที่ตั้ง

ยตศฺจ เม ภิกฺษว เอษุ จตุรฺษฺวารฺยสตฺเยษฺเววํ ตฺริปริวรฺตํ ทฺวาทศาการํ ชฺญานทรฺศนมุตฺปนฺนมฺ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ชญานทรรศนะในอารยสัตย์ทั้ง 4 นี้ เวียน 3 รอบ มี 12 อาการอย่างนี้ เกิดขึ้นแก่ตถาคต

อโกปฺยา จ เม เจโตวิมุกฺติะ, ปฺรชฺญาวิมุกฺติศฺจ สากฺษาตฺกฤตา,
และเจโตวิมุกติของตถาคตไม่กำเริบ(ไม่เปลี่ยนแปลง) และ ปรัชญาวิมุกติ**ตถาคตทำให้ปรากฏแล้ว

บาลีว่า เจโตวิมุตฺติ  ความหลุดพ้นแห่งจิต   ** ปญฺญาวิมุติ  ความหลุดพ้นด้วยปัญญา

ตโต’หํ ภิกฺษโว’นุตฺตรํา สมฺยกฺสํโพธิมภิสํพุทฺโธ’สฺมิ อิติ ปฺรติชฺญาสิษมฺฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น ตถาคตจึงประติชญาได้ว่าตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิแล้ว

ชฺญานทรฺศนํ เม อุทปาทิฯ กฺษีณา เม ชาติะ, อุษิตํ พฺรหฺมจรฺยมฺ, กฤตํ กรณียมฺ, นาปรสฺมาทฺภวํ ปฺรชานามิ๚
ตราบนั้นชญานทรรศนะ เกิดขึ้นแล้วแก่ตถาคต ชาติ (ความเกิด)ของตถาคตสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ตถาคตได้อยู่แล้ว (คือได้ประพฤติเสร็จแล้ว) กิจที่ควรทำตถาคตได้ทำแล้ว ตถาคตไม่ต้องจากภพหนึ่งไปสู่ภพแล้ว

ตเตฺรทมุจฺยเตฯ

ในที่นี้ มีคำกล่าวไว้ว่า

วาจาย พฺรหฺมรุต กินฺนรครฺชิตาย
อํไศะ สหสฺรนยุเตภิ สมุทฺคตายฯ
พหุกลฺปโกฏิ สท สตฺยสุภาวิตาย
เกาณฺฑินฺยมาลปติ ศากฺยมุนิะ สฺวยํภูะ ๚๓๑๚

31 พระศากยมุนี องค์สวยัมภู ตรัสเรียกเกาณฑินยะ* ด้วยพระวาจาดังว่าเสียพรหมเสียงกินนรอันดังขึ้นตั้งพันส่วน ซึ่งได้อบรมมาดีแล้วในความสัตย์ทุกเมื่อตั้งหลายโกฏิกัลปตรัสว่า ฯ

*  พระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุสาวก ผู้เป็นเอตทัคคะในด้านรัตตัญญู คือเป็นผู้รู้ธรรมก่อนใครในพระพุทธศาสนาและได้บวชก่อนผู้อื่น

จกฺษุรนิตฺยมธฺรุวํ ตถ โศฺรต ฆฺราณํ
ชิหฺวา ปิ กาย มน ทุะขา อนาตฺม ศูนฺยาฯ
ชฑาสฺวภาว ตฤณกุฑฺม อิวา นิรีหา
ไนวาตฺร อาตฺม น นโร น จ ชีวมสฺติ ๚๓๒๚

32 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นอนาตมะ* เป็นศูนย** เป็นสวภาพ***ของคนเขลา ปราศจากความพยายามเหมือนหญ้ายอดด้วน ในที่นี้ไม่มีอาตมะ**** ไม่มีคน ไม่มีชีวะ ฯ

*อนัตตา ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน ศูนยตา
**สุญญตา ความเป็นของสูญ คือความไม่มีตัวตน ถือเอาเป็นตัวตนไม่ได้. 
***สวภาพ หรือ สวภาวะ สภาวะที่อยู่ด้วยตัวมันเอง หรือ พรหมัน อาตมันของพราหมณ์ 
****อัตตา  หรือความเป็นตัวเป็นตน สิ่งที่ยึดเป็นตัวตน

เหตุํ ปฺรตีตฺย อิมิ สํภุต สรฺวธรฺมา
อตฺยนฺตทฤษฺฏิวิคตา คคนปฺรกาศาฯ
น จ การโก’สฺติ ตถ ไนว จ เวทโก’สฺติ
น จ กรฺม ปศฺยติ กฤตํ หฺยศุภํ ศุภํ วา ๚๓๓๚

33 ธรรมทั้งปวงเหล่านี้ มีได้เพราะอาศัยเหตุเหมือนความสว่างในอากาศเห็นได้ไกลยิ่ง ไม่มีผู้ทำ และไม่มีผู้ถูกทำ ไม่มีการทำ ไม่มีสิ่งถูกทำ ไม่มีความชั่วหรือความดี ฯ

สฺกนฺธา ปฺรตีตฺย สมุเทติ หิ ทุะขเมวํ
สํโภนฺติ ตฤษฺณ สลิเลน วิวรฺธมานาฯ
มารฺเคณ ธรฺมสมตาย วิปศฺยมานา
อตฺยนฺตกฺษีณ กฺษยธรฺมตยา นิรุทฺธาะ ๚๓๔๚

34 จริงอยู่ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยสกันธ ดั่งว่านี้เหมือนความเจริญงอกงามของตฤษณา* เกิดขึ้นเพราะน้ำ การเห็นแจ้งโดยความเสมอกันในธรรม ย่อมมีด้วยมรรค ความดับสนิทโดยธรรมเป็นเครื่องสิ้นไป ย่อมมีด้วยการหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ฯ

* ท่านใจศัพท์ว่า ตฤษณ แต่น่าจะเป็นตฤณ ซึ่งเปลว่าหญ้า คือหญ้าเจริญงอกงามเพราะน้ำ

สํกลฺปกลฺปชนิเตน อโยนิเศน
ภวเต อวิทฺย น ปิ สํภวโก’สฺย กศฺจิฯ
สํสฺการเหตุ ททเต น จ สํกฺรโม’สฺติ
วิชฺญานมุทฺภวติ สํกฺรมณํ ปฺรตีตฺย ๚๓๕๚

35 อวิทยา* ย่อมมีเพราะไม่พิจารณาถี่ถ้วนอันเกิดจากการกำหนดด้วยความดำริหรือความมุ่งหมาย และไม่มีอะไรเป็นมูลเหตุของอวิทยานั้นเลย อวิทยายังให้ความเป็นเหตุแห่งสังสการ** และไม่มีการก้าวเลยไป วิชญาน***เกิดขึ้นเพราะอาศัยการก้าวหน้าของสังสการฯ

บาลีว่า อวิชชา  คือ ความไม่รู้แจ้ง คือ ความไม่รู้ความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ โดยถูกต้อง
** สังขาร คือ การปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง
*** วิญญาน คือความรับรู้อารมณ์

วิชฺญาน นาม ตถ จ รูป สมุตฺถิตาสฺติ
นาเม จ รูปิ สมุเทนฺติ ษฑินฺทฺริยาณิฯ
ษฑินฺทิไยรฺนิปติโต อิติ สฺปรฺศ อุกฺตะ
สฺปรฺเศน ติสฺร อนุวรฺตติ เวทนา จ ๚๓๖๚

36 นามคือวิชญาน และรูป เกิดขึ้นแล้ว อินทรีย์ 6 ย่อมเกิดขึ้นในนามและรูป อินทรีย์รับอารมณ์ เรียกว่าสปรรศะ  * และเวทนา 3 ย่อมเป็นไปตามสปรรศะ ฯ

  * บาลีว่า  ผัสสะ คือ สัมผัส การกระทบ การถูกต้องที่ให้เกิดความรู้สึก

ยตฺกิํจิ เวทยิตุ สรฺว สตฤษฺณ อุกฺตา
ตฤษฺณาต สรฺว อุปชายติ ทุะขสฺกนฺธะฯ
อุปาทานโต ภวติ สรฺว ภวปฺรวฤตฺติะ
ภวปฺรตฺยยา จ สมุเทติ หิ ชาติรสฺย ๚๓๗๚

37 เวทนาใดๆ ท่านเรียกว่าเป็นไปกับด้วยตฤษณากองทุกข์ทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะตฤษณา ความเป็นไปในภพทั้งปวงมีเพราะอุปาทานจริงอยู่ ชาติ(ความเกิด) ย่อมตั้งขึ้นแก่เขา เพราะภพเป็นปรัตยัย
สำนวนแปลปกติคือ   ปัจจัย

ชาตีนิทาน ชรวฺยาธิทุขานิ โภนฺติ
อุปปตฺติ ไนก วิวิธา ภวปญฺชเร’สฺมินฺฯ
เอวเมษ สรฺว อิติ ปฺรตฺยยโต ชคสฺย
น จ อาตฺม ปุทฺคลุ น สํกฺรมโก’สฺติ กศฺจิ ๚๓๘๚

38 ทุกข์คือชรา พยาธิ ซึ่งบังเกิดขึ้นหายอย่างในกรงคือภพนี้(โลกนี้) ย่อมมีเพราะชาติ (ความเกิด เป็นเหตุ ดังนั้นสภาพทั้งปวงนี้แหละย่อมมีเพราะปรัตยัยของโลก ไม่มีตน และไม่มีบุทคลผู้ดำเนินการใดๆ ฯ
สำนวนแปลปกติคือ   ปัจจัย

ยสฺมินฺน กลฺปุ น วิกลฺปุ โยนิมาหุะ
ยทฺโยนิโศ ภวติ น ตตฺร อวิทฺย กาจิฯ
ยสฺมินฺนิโรธุ ภวตีห อวิทฺยตายาะ
สรฺเว ภวางฺค กฺษยกฺษีณ กฺษยํ นิรุทฺธา ๚๓๙๚

39 ท่านกล่าวว่าบ่อเกิดไม่มีในกัลป (กัลปเจริญ)และไม่มีในวิกัลป (กัลปเสื่อม) ใดๆอนึ่งที่ใด พิจารณาถี่ถ้วน อวิทยาไม่ว่าชนิดใด ย่อมไม่มีในที่นั้น นิโรธ (ความดับสนิท) มีในที่ใดที่นั้นย่อมมีเพราะความไม่มีอวิทยา องค์แห่งภพทั้งปวงหมดสิ้นแล้ว ความสิ้นคือ นิโรธ(ความดับสนิท) ฯ

เอวเมษ ปฺรตฺยยต พุทฺธ ตถาคเตน
เตน สฺวยํภุ สฺวกมาตฺมนุ วฺยากโรติฯ
น สฺกนฺธ อายตน ธาตุ วเทมิ พุทฺธํ
นานฺยตฺร เหตฺววคมาทฺภวตีห พุทฺธะ ๚๔๐๚

40 นี่แหละ ตถาคตตรัสรุ้แล้วโดยปรัตยัย เพราะฉะนั้นพระสวยัมภูย่อมพยากรณ์โดยตนเองได้ ตถาคตมิได้กล่าวว่า สกันธ อายตนะและธาตุ เป็นพุทธ พุทธในโลกนี้ ก็มิได้มีเพราะการหยั่งรู้เหตุอย่างอื่น(นอกจากสกันธ อายตนะและธาตุ)

บาลีว่า  ขันธ์

ภูมิรฺน จาตฺร ปรตีรฺถิก นิะสฤตานํา
ศูนฺยา ปฺรวาทิ อิห อีทฤศ ธรฺมโยเคฯ
เย ปูรฺวพุทฺธจริตา สุวิศุทฺธสตฺตฺวาะ
เต ศกฺนุวนฺติ อิมิ ธรฺม วิชานนาย ๚๔๑๚

41 และภาคพื้นในโลกนี้ ก็ไม่เป็นบุณยสถานอันใหญ่ยิ่งของผู้เดินทางในความศูนย(ว่างเปล่า) เป็นลัทธิในการประกอบธรรมเช่นนี้ ในโลกนี้ผู้ใดเคยประพฤติเพื่อเป็นพุทธมาแล้ว เป็นสัตว์บริศุทธยิ่ง ผู้นั้นสามารถ เพื่อรู้ธรรมนี้ได้ ฯ

เอวํ หิ ทฺวาทศาการํ ธรฺมจกฺรํ ปฺรวรฺติตมฺฯ
เกาณฺฑินฺเยน จ อาชฺญาตํ นิรฺวฤตฺตา รตนา ตฺรยะ ๚๔๒๚

42 จักรคือธรรมมี 12 อาการอย่างนี้แล ตถาคตให้หมุนแล้วและเกาฑินยะได้รู้แล้ว รัตนะ 3 ครบแล้ว

พุทฺโธ ธรฺมศฺจ สํฆศฺจ อิตฺเยตทฺรตนตฺรยมฺฯ
ปรสฺปรํา คตะ ศพฺโท ยาวทฺ พฺรหฺมปุราลยมฺ ๚๔๓๚

43 รัตนตรัยนั้นคือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ เสียงดังต่อๆ กันไปกระทั่งถึงบุรีเป็นที่อยู่ของพรหม ฯ

วรฺติตํ วิรชํ จกฺรํ โลกนาเถน ตายินาฯ
อุตฺปนฺนา รตนา ตฺรีณิ โลเก ปรมทุรฺลภา ๚๔๔๚

44 จักรปราศจากธุลี เพราะโลกนาถผู้เผยแผ่ให้หมุนแล้ว รัตนะทั้งหลาย 3 หายากที่สุดในโลก เกิดขึ้นแล้ว ฯ

เกาณฺฑินฺยํ ปฺรถมํ กฤตฺวา ปญฺจกาศฺไจว ภิกฺษวะฯ
ษษฺฏีนํา เทวโกฏีนํา ธรฺมจกฺษุรฺวิโศธิตมฺ ๚๔๕๚

45 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้ง 5 มีเกาฑินยะเป็นประถม มีแล้ว เทวดา 60 โกฏิ ตถาคตได้ชำระธรรมจักษุ(ดวงตาเห็นธรรม) ให้สะอาดแล้ว ฯ

อนฺเย จาศีติโกฏฺยสฺตุ รูปธาตุกเทวตาะฯ
เตษํา วิโศธิตํ จกฺษุ ธรฺมจกฺรปฺรวรฺตเน  ๚๔๖๚

46 และเทวดารูปพรหมอื่นๆอีก 80 โกฏิ ตถาคตก็ได้ชำระจักษุของเทวดาเหล่านั้นให้สะอาดแล้ว ในการหมุนจักรคือธรรม ฯ

จตุรศีติสหสฺราณิ มนุษฺยาณํา สมาคตาฯ
เตษํา วิโศธิตํ จกฺษุ มุกฺตา สรฺเวภิ ทุรฺคตี ๚๔๗๚

47 มนุษย์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พัน มาประชุมกันแล้ว ตถาคตชำระจักษุของมนุษย์เหล่านั้นให้พ้นจากการฝ้าฟางทั้งปวง ฯ

ทศทิศตุ อนนฺต พุทฺธสฺวโร คจฺฉิ ตสฺมิํ กฺษเณ
รุต มธุร มโนชฺญ สํศฺรูยนฺเต จานฺตรีเกฺษ ศุภฯ
เอษ ทศพเลน ศากฺยรฺษิณา ธรฺมจโกฺรตฺตมํ
ฤษิปตนมุเปตฺย วาราณสี วรฺติโต นานฺยถา ๚๔๘๚

48 ในกษณะนั้น เสียงกล่าวถึงพระพุทธดังไปในทิศทั้ง 10 ไม่มีที่สุด เป็นเสียงไพเราะจับใจ ได้ยินในอากาศชัดเจน เสียงนั้นว่า พระฤษีศากยมีกำลัง10(ทศพล) เสด็จไปยังฤษิปตนะในมหานครพาราณสี หมุนจักรสูงสุดคือธรรม ไม่ใช่อย่างอื่น ฯ

ทศ ทิศิต ยิ เกจิ พุทฺธศตา สรฺวิ ตูษฺณีภุตาะ
เตษ มุนินเย อุปสฺถายกาะ สรฺวิ ปฤจฺฉี ชินําฯ
กิมิติ ทศพเลภิ ธรฺมากถา ฉินฺน ศฺรุตฺวา รูตํ
สาธุ ภณต ศีฆฺร กิํ การณํ ตูษฺณีภาเวน สฺถิตาะ ๚๔๙๚

49 พระพุทธตั้งร้อยในทิศทั้ง 10 บางพวกทรงนิ่งหมด พระโพธิสัตว์ผู้รับใช้ทั้งปวงของพระพุทธเหล่านั้น ถามพระชินว่า พระทศพลทั้งหลายได้ยินเสียงแล้วงดธรรมกถาเพราะเหตุใด ดังจะขอโอกาศ ขอพระองค์โปรดบอกโดยเร็ว เพราะเหตุไร องค์พระทศพลทั้งหลายจึงนิ่งเงียบ ฯ

ปุรฺวภวศเตภิ วีรฺยาพไล โพธิ สมุทานิยา
พหว ศตสหสฺร ปศฺจานฺมุขา โพธิสตฺตฺวา กฤตาะฯ
เตน หิตกเรณ อุตฺตปฺตตา ปฺราปฺต โพธิะ ศิวา
จกฺร ตฺริปริวรฺต ปฺราวรฺติตา เตน ตูษฺณีภุตาะ ๚๕๐๚

50 พระทศพลทั้งหลายตรัสว่า โพธิ ตถาคตนำมาแล้วด้วยกำลังความเพียรตั้งร้อยภพในครั้งก่อนๆ โพธิสัตว์หลายแสนพากันหัวหน้าสู่โพธิซึ่งมีความรุ่งเรืองสูง เป็นสวัสดิมงคล ตถาคตผู้ทำประโยชน์นั้นได้บรรลุแล้ว จักรตถาคตให้เป็นไปแล้วโดยหมุน 3 รอบ เพราะฉะนั้น พระทศพลทั้งหลายจึงนิ่งเงียบ ฯ

อิมุ วจน ศฺรุณิตฺว เตษํา มุนีสตฺตฺวโกฏฺยะ ศตา
ไมตฺรพล ชนิตฺว สํปฺรสฺถิตา อคฺรโพธิํ ศิวามฺฯ
วยมปิ อนุศิกฺษิ ตสฺยา มุเน วีรฺยสฺถาโมทฺคตํ
กฺษิปฺร ภเวม โลกิ โลโกตฺตมา ธรฺมจกฺษุรฺททาะ ๚๕๑๚
อิติ๚

51 พระโพธิสัตว์ร้อยโกฏิได้ยินคำนี้ขอพระทศพลทั้งหลายแล้วทำให้กำลังแห่งไมตรีเกิดขึ้น ได้มุ่งต่อโพธิอันประเสริฐเป็นแดนเกษม ทูลว่าข้าแต่พระมุนี ข้าพระองค์ทั้งหลายศึกษาความตั้งขึ้นแห่งกำลังความเพียร นั้นแล้ว จะเป็นผผุ้ให้จักษุในธรรม(ดวงตาเห็นธรรม อันเป็นโลกุตตมในโลกโดยเร็ว ดั่งนี้ ฯ


อ้างอิง


२६ धर्मचक्रप्रवर्तनपरिवर्तः षड्‍विंशः
Technical Details
Text Version: Devanāgarī
Input Personnel: DSBC Staff
Input Date: 2004
Proof Reader: Miroj Shakya
Supplier: Nagarjuna Institute of Exact Methods
Sponsor: University of the West

1.พระคัมภีร์ลลิตวิสตร พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์พุทธประวัติฝ่ายมหายาน ศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร เปรียญ

2.ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้าที่ ๑๕ ข้อที่ ๑๓

3.การวิจัยเชิงคัมภีร์กรณีศึกษา “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” พระมหาพงศ์ศักดิ์ ฐานิโย  ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา ฉบับที่ 1 ปี 2559

4. Saṃyukta Āgama , 379. Turning the Dharma Wheel Translated from Taishō Tripiṭaka volume 2, number 99

5.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

Loading

Be the first to comment on "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ฝ่ายสันสกฤต"

Leave a comment