มหาสังฆิกะ ๒ ฝ่าย

แบ่งปันในสังคมออนไลน์
ในทางงานวิชาการไทย หากกล่าวถึง นิกายมหาสังฆิกะ ก็มักจะกล่าวว่าเป็นมหายานโดยปริยาย ข้อนี้ก็ค่อนข้างคลาดเคลื่อน นิกายมหาสังฆิกะเดิมเป็นสาวกยาน ต่อมาก็ได้แยกเป็น ๒ ฝ่ายคือ สาวกยาน และ มหายาน
อนึ่ง แม้ในคัมภีร์มหายานมักจะใช้คำว่าหินยานก็ตาม แต่ในการศึกษาการจำแนกนิกายการเรียก สาวกยานนั้น เป็นการจำแนกที่ชัดเจนที่สุด และเป็นคำที่เก่าแก่กว่า หินยาน เช่น นิธิกัณฑสูตรแห่งขุททกนิกาย กล่าวถึงแนวทาง ๓ แบบที่ชาวพุทธควรเลือกไปปฏิบัติ คือ สาวกปารมี ปัจเจกโพธิ พุทธภูมิ และไวภาษิกะแห่งสรรวาสติวาท กล่าวถึงแนวทาง ๓ เช่นกัน คือ ศราวกยาน ปรัตเยกพุทธยาน โพธิสัตตวยาน แม้ในคัมภีร์มหายานเองเมื่อจำแนกอย่างละเอียดก็จำแนกไว้ ๓ ยาน อย่างเดียวกัน
โดย ๑. สาวกยาน (สาวกปารมี, ศราวกยาน) คือ แนวการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ๔ ประเภท ๒.ปัจเจกยาน (ปรัตเยกพุทธยาน, ปัจเจกโพธิ ) แนวการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๓. มหายาน (โพธิสัตตวยาน, พุทธภูมิ) แนวการปฏิบัติเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เนื่องด้วยคำว่า หินยาน หรือ ยานเล็ก นั้นเป็นการการเรียกรวม สาวกยาน และปัจเจกยาน ตามข้อเท็จจริงไม่มีนิกายใดสั่งสอนโดยมุ่งเน้นการบำเพ็ญเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเลยสักนิกาย ปัจเจกยาน เป็นแต่แนวทางการปฏิบัติส่วนบุคคลเท่านั้นไม่เคยมีการตั้งเป็นนิกายอย่างเอกเทศ
________________________
มหายานสายนิกายมหาสังฆิกะ
________________________
นิกายมหาสังฆิกะมีหลักฐานที่พอจะยืนยันได้ว่า ยอมรับพระอภิธรรม ตามหลักฐานที่อ้างถึงในบทความ “พระอภิธรรมของนิกายมหาสังฆิกะ” ก่อนหน้านี้ แต่เนื่องไม่มีคัมภีร์พระอภิธรรมของนิกายนี้หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
และนิกายมหาสังฆิกะยังมีข้อขัดแย้งต่างๆ รวมถึงข้อขัดแย้งทางด้านพระอภิธรรมภายในนิกายจนทำให้เกิดการแยกนิกายอีกด้วย
——————–
นิกายมหาสังฆิกะมีการแตกแยกกัน ดังพระวสุมิตร พระเถระฝ่ายนิกายสรรวาทสติวาท และเป็นประธานพระสังคีติกาจารย์คราวทำสังคายนาของนิกายสรรวาทสติวาท ที่กัษมีระ ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์สมยเภโทปรจนจักระ (異部宗輪論 : T2031) แปลโดยพระเสวียนจั้ง เป็นคัมภีร์อธิบายถึงการแตกนิกายต่างๆ (ซึ่งทำคล้ายๆ กับพระโมคคัลลาบุตรติสสะ แต่งคัมภีร์กถาวัตถุส่วนหลังอธิบายความแตกแยกของนิกายต่างๆ ตามแนวเถรวาท คราวทำสังคายนาครั้งที่ ๓ )
คัมภีร์สมยเภโทปรจนจักระ บอกถึงการแตกนิกายในยุคต้นของฝ่ายมหาสังฆิกะ สรุปคร่าวๆ ดังนี้
๒๐๐ ปีหลังจากปรินิพพานของพระพุทธเจ้า นิกายมหาสังฆิกะ แยกเป็น ๓ คือ เอกวยาวหาริกะ (一說部) โลโกตตรวาท (說出世部) กุกกุฏิกะ (雞胤部) อีก ๒๐๐ ปีต่อมาแยกเพิ่มเป็น พหุศรุติยะ (多聞部) อีก ๒๐๐ ปีต่อมาแยกเพิ่มเป็น ปรัชญัปติวาท (說假部) [ยังมีการแยกกันอีกในสมัยหลังไม่กล่าวในที่นี้]
โดย ๒๐๐ ปีหลังจากปรินิพพานของพระพุทธเจ้า นักวิชาการให้ความเห็นว่าเป็นยุคพระเจ้าอโศกมหาราช หรือราวช่วงต้นราชวงศ์เมารยะ
——————–
พระปรมารถะ (眞諦) ภิกษุชาวอินเดียแคว้นอุชเชนี มาประเทศจีนเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๐ อธิบาย คัมภีร์ของพระวสุมิตร ไว้ใน (三論玄義檢幽集 : T2300) เป็นงานเขียนของพระปรมารถะ อธิบายไว้และถูกรวบรวมโดยลูกศิษย์ของท่าน ถึงการแยกนิกายของมหาสังฆิกะ ไว้เพิ่มเติม
บอกถึงการแตกกันของมหาสังฆิกะ มีการกล่าวถึงพระอภิธรรมด้วย กล่าวคือ
มีคณะสงฆ์บางส่วนของมหาสังฆิกะ ประสงค์รวบรวมพระสุตตันตปิฎกของนิกายมหาสังฆิกะใหม่ โดยจะนำพระสูตรของฝ่ายมหายาน มาไว้ในส่วนหนึ่งของปิฎก คณะสงฆ์มหาสังฆิกะบางส่วนยอมรับ บางส่วนไม่ยอมรับจึงแตกกัน บางพวกไม่ยอมรับและยังถือว่าพระอภิธรรมเท่านั้นที่เป็นพระสัทธรรมแท้ ดังมีความว่า :
 
大衆部中流出三部。眞諦疏曰。第二百年。大衆部併度行央掘多羅國。此國在王舍城北。此部引花嚴涅槃勝鬘維摩金光明般若等諸大乘經。於此部中有信此經者。有不信此經者。若不信者謗言無般若等諸大乘經。
 
นิกายมหาสังฆิกะ ได้แตกออกเป็น ๓ นิกาย พระอาจารย์ปรมารถะได้เขียนอรรถาธิบายไว้ ว่าในช่วงปีที่ ๒๐๐ นั้น นิกายมหาสังฆิกะได้แพร่ขยายไปยังแคว้นอังคุตตราปะ แคว้นนี้ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองราชคฤห์ นิกายนี้มีผู้นำเอา พระสูตรอวตังสกะ นิรวาณ ศรีมาลาเทวี วิมลกีรติ สุวรรณประภาส ปรัชญาปารมิตา แลมหายานสูตรทั้งหลายมา
แต่นิกายนี้มีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อในพระสูตรเหล่านี้ สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อนั้น ก็กล่าวดูหมิ่นว่าพระสูตรมหายานทั้งหลาย เช่น ปรัชญาปารมิตา เป็นต้นว่าไม่มีอยู่จริง
 
言此等經皆是人作。非是佛説。悉簡置一處。還依三藏根本而執用之。小乘弟子唯信有三藏。
 
โดยกล่าวหาว่าพระสูตรเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์แต่งขึ้น ไม่ใช่พระพุทธพจน์ ควรที่จะแยกไว้ต่างหาก และยังจะคงยึดถือและปฏิบัติตามพระไตรปิฎกเดิมเท่านั้น สาวกฝ่ายหินยานเชื่อมั่นว่ามีเพียงพระไตรปิฎกเท่านั้นที่ถูกต้อง
——————–
ในเนื้อหาได้อธิบายความเห็นของนิกายมหาสังฆิกะฝ่ายหินยาน (สาวกยาน) และมหายาน ข้อความมีรายละเอียดมากกล่าวโดยสรุปว่า
มหาสังฆิกะฝ่ายหินยาน กล่าวว่า พระสูตรมหายาน หาใช่พระพุทธพจน์ไม่ จึงควรแยกไว้ต่างหาก
มหาสังฆิกะฝ่ายมหายาน กล่าวว่า พระสูตรมหายาน มีผู้เชื่อ ๓ ประการ คือ
๑.ได้ยินมาจากพระพุทธเจ้าจึงเชื่อ
๒.เมื่อวิเคราะห์เนื้อหาหลักการแล้วเป็นเหตุเป็นผลจึงเชื่อ
๓.ฟังตามครูอาจารย์สั่งสอนมาจึงเชื่อ
และควรเชื่อเพราะพระพุทธเจ้าทรงหมุนธรรมจักร ๓ ครั้ง ครั้งแรก ทรงหมุนธรรมจักรแห่งหินยาน คือการสั่งสอนด้วยพระไตรปิฎก (小乘法輪。即三藏教也) ครั้งที่สอง ทรงหมุนธรรมจักรแห่งมหายาน (大乘法輪) ครั้งที่สาม ทรงหมุนธรรมจักรแห่งเอกยาน (一乘法輪) ธรรมจักรแรกพระอานนท์เป็นผู้สวดสาธยายในสังคายนา ส่วนธรรมจักรที่ ๒ และ ๓ มีแต่เหล่าพระโพธิสัตว์เท่านั้นเป็นผู้สวดสาธยายในสังคายนา (พระสาวกทั้งหลายจึงไม่ทราบ)
——————–
คราวนั้น มหาสังฆิกะจึงแยกเป็น ๒ ฝ่าย
ฝ่ายที่ยอมรับมหายานสูตร เข้าไปในพระไตรปิฎก ซึ่งต่อมา ยังแยกกันเป็น ๒ นิกาย เพราะมีความเห็นทางต่างทางข้ออภิธรรมอีก คือ
๑.เอกวยาวหาริกะ เชื่อว่า โลกียธรรมและโลกุตตรธรรม เป็นแต่เพียงบัญญัติโวหารเท่านั้น แท้จริงธรรมทั้งปวงไม่มีแก่นสารอย่างเดียวกัน
๒.โลโกตตรวาท เชื่อว่า โลกียธรรมไร้แก่นสาร ส่วนโลกุตรธรรมเป็นสภาวธรรมที่แท้จริง
ฝ่ายที่ไม่ยอมรับมหายานสูตร เป็น ๑ นิกาย คือ
๑. กุกกุฏิกะ หรือ โคกุลิกะ นิกายนี้อาจเป็นนิกายมหาสังฆิกะเดิม เพราะเจริญในแคว้นมคธและโกศล มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงปาฏลีบุตร นิกายนี้เชื่อว่า มหายานสูตรมิใช่พุทธพจน์ เชื่อเฉพาะแต่พระไตรปิฎกดั้งเดิม และมักศึกษาแต่พระอภิธรรม แต่เชื่อว่าในลักษณพิเศษดังนี้
 
經律二藏。是佛方便教。非眞實教。准此毘曇藏是眞實教。
 
พระสูตรและพระวินัย ทั้ง ๒ ปิฎกนี้ เป็นเพียงคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนด้วยอุบายเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่งสอนที่แท้จริง มีพระอภิธรรมปิฎกเท่านั้นที่เป็น(แก่น)คำสั่งสอนที่แท้จริง
(สอนด้วยอุบาย คือพวกกุกกุฏิกะหมายถึง การสอนด้วยพระธรรมที่ปรับหรือประยุกต์ให้เหมาะสมกับแต่บุคคล ไม่ใช่แก่นสารของธรรมะที่แท้จริงอย่างพระอภิธรรมปิฎก)
——————–
แต่ภายหลังต่อมา มีคณะสงฆ์นิกายกุกกุฏิกะ บางส่วนก็รับเอามหายานสูตรมาศึกษาควบคู่ กับการศึกษาในทุกปิฎกแห่งพระไตรปิฎกดั้งเดิม เรียกพวกตนว่าเป็นพวกพหูสูตร จึงแยกนิกายออกมา ได้ชื่อว่านิกายพหุศรุติยะ
นิกายมหาสังฆิกะแพร่หลายไปทั่วภูมิภาคสำคัญ เช่น ลุ่มน้ำคงคา (ครอบคลุมแคว้นมคธและโกศล), ลุ่มน้ำยมุนา (ในแคว้นสุรุเสนะ โดยเฉพาะในมถุรา) อินเดียเหนือ (แคว้นคันธาระ), อานธรประเทศ (ชายฝั่งตะวันออก) และมหาราษฏระ (ชายฝั่งตะวันตก)
 
——————–

Loading

Be the first to comment on "มหาสังฆิกะ ๒ ฝ่าย"

Leave a comment