
—————————
การสังคายนาที่กัศมีระ
—————————
佛涅槃後四百年 迦膩色迦王贍部
ภายหลังพุทธปรินิพพานล่วงมาได้ ๔๐๐ ปี
พระเจ้ากนิษกะพระราชาแห่งชาวชมพูทวีป
召集五百應真士 迦濕彌羅釋三藏
ทรงนิมนต์พระอรหันต์ ๕๐๐ ให้มาประชุม
ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกที่แคว้นกัศมีระ
其中對法毘婆沙 具獲本文今譯訖
ในบรรดาคัมภีร์วิภาษาว่าด้วยปรมัตถธรรมเหล่าใด
อันข้าพเจ้าได้พบต้นฉบับมาและแปลเสร็จสิ้นแล้วในวันนี้
願此等潤諸含識 速證圓寂妙菩提
ขอให้ธรรมเหล่านั้นจงชโลมใจแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อให้บรรลุถึงพระนิพพานอันประเสริฐแลพระโพธิญาณโดยเร็วพลันเทอญ
จากนิคมคาถาของพระตรีปิฏกาจารย์เสวียนจั้ง (ถังซำจั๋ง) ในคัมภีร์อภิธรรมมหาวิภาษาศาสตร์ (阿毘達磨大毘婆沙論 : T1545 ) คัมภีร์วิภาษา หรืออรรถกถาพระอภิธรรมปิฎกนิกายสรรวาสติวาท ในผูกที่ ๒๐๐
—————————————-
พระเจ้ากนิษกะ หรือ กณิษกะ, กาณิษกะ พระโอรสแห่งพระเจ้าวีมะกัทผิเสส (หรือ วิมะกัลปิศะ)
พระปรมาภิไธย ภาษากรีก-แบกเตรีย : ϷΑΟΝΑΝΟϷΑΟ ΚΑΝΗϷΚΙ ΚΟϷΑΝΟ [ŠAONANOŠAO KANIŠKI KOŠANO],
สันสกฤต : 𑀫𑀳𑀸𑀭𑀸𑀚 𑀭𑀸𑀚𑀥𑀺𑀭𑀸𑀚 𑀤𑁂𑀯𑀧𑀼𑀢𑁆𑀭 𑀓𑀸𑀡𑀺𑀱𑁆𑀓 [มหาราช ราชธิราช เทวปุตฺร กาณิษฺก]
พระเจ้ากนิษกะ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักวรรดิกุษาณะ พระองค์ที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ ในราชวงศ์กุษาณะ เมื่อราว ค.ศ. ๑๒๗-๑๕๐ (พ.ศ. ๖๗๐-๖๙๓) ราชวงศ์นี้เป็นราชวงศ์ต่างชาติเดิมเป็นชนเร่ร่อน แต่เข้ามาปกครองบริเวณเอเชียกลางและอินเดียเหนือ โดยรับวัฒนธรรมอินโด-กรีก ผสมอิราเนียน เป็นวัฒนธรรมหลักในการขับเคลื่อนจักรวรรดิ และยังให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ ในรัชสมัยของพระองค์ มีเรื่องเล่าในบันทึกการเดินทางของพระเสวียนจั้ง (大唐西域記 : T2087) ระบุถึงการทำสังคายนาของนิกายสรรวาสติวาทที่กัศมีระ เมื่อท่านเดินทางถึงแคว้นนี้ กล่าวสรุป โดยยกส่วนสำคัญมาดังนี้
—————————
สาเหตุการทำสังคายนา
————————–
健馱邏國迦膩色迦王,以如來涅槃之後第四百年,應期撫運,王風遠被,殊俗內附。機務餘暇,每習佛經,日請一僧入宮說法,而諸異議部執不同。王用深疑,無以去惑。時脇尊者曰:「如來去世,歲月逾邈,弟子部執,師資異論,各據聞見,共為矛楯。」
พระเจ้ากนิษกะ พระเจ้าแผ่นดินแห่งแคว้นคันธาระ เสด็จสืบราชสมบัติได้รับซึ่งไอศวรรย์ หลังพระตถาคตเจ้าปรินิพพานล่วงมาแล้วได้ ๔๐๐ ปี พระองค์มีพระราชอำนาจแผ่ไพศาล หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างยอมอ่อนน้อมสวามิภักดิ์
เมื่อทรงเว้นว่างจากพระราชกิจ พระองค์จักทรงศึกษาพระวจนะแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประจำ โดยจะเชิญภิกษุจำนวนหนึ่งรูปมาเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาในเขตพระราชฐานทุกๆ วัน แต่เนื่องพระภิกษุมาจากนิกายต่างกัน จึงมีความเห็นไม่ตรงกัน
พระองค์ทรงรู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง และไม่สามารถหาคำตอบให้คลายข้อกังขาได้ ขณะนั้นพระปารศวะเถระกล่าวว่า: ‘เมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานล่วงไป เป็นเวลาช้านานแล้ว สาวกแตกแยกกันหลายนิกาย คณาจารย์ก็มีวาทะต่างกัน แต่ละคนยึดถือสิ่งที่ได้ยินและเห็น จนขัดแย้งกันดุจหอกกับโล่
—————————————-
時王聞已,甚用感傷,悲歎良久,謂尊者曰:「猥以餘福,聿遵前緒,去聖雖遠,猶為有幸,敢忘庸鄙,紹隆法教,隨其部執,具釋三藏。」脇尊者曰:「大王宿殖善本,多資福祐,留情佛法,是所願也。」王乃宣令遠近,召集聖哲。於是四方輻湊,萬里星馳,英賢畢萃,叡聖咸集。七日之中,四事供養。既欲法議,恐其諠雜。
เมื่อพระราชาได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ทรงรู้สึกสลดพระทัยอย่างยิ่ง ทรงปริเทวนาการอยู่นาน แล้วตรัสกับพระเถระเจ้านั้นว่า :
“เพราะว่าโยมยังได้รับวิบากอันหยาบจากเศษแห่งบุญกุศลอยู่ จึงได้สืบราชสันตติวงศ์ต่อจากบูรพกษัตริย์ ทว่าโยมยังห่างไกลจากการเป็นพระอริยเจ้า แต่ก็ยังนับว่าโยมยังมีโชคอยู่ ที่โยมไม่กล้าที่จะละเลยความต่ำต้อยของตนในข้อนั้นได้ โยมขออุทิศตนเพื่อสืบทอดพระธรรมคำสอนให้เจริญขึ้น ตามแต่ละนิกายที่ได้ยึดถือมา โดยจักให้อธิบายความตามในพระไตรปิฎก”
พระปารศวะเถระกล่าวว่า : “มหาราชได้ปลูกฝั่งกุศลมูลมาแต่ปางก่อน สั่งสมบุญบารมีไว้มาก ทั้งยังสนพระทัยในพุทธธรรม และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อาตมาปรารถนา”
พระราชาจึงทรงออกพระราชโองการไปทั้งใกล้และไกล นิมนต์พระอริยบุคคลผู้มีปัญญาให้มาประชุมกัน ในบัดนั้นมีผู้มาจากทิศทั้ง ๔ มาประชุมกันประดุจซี่ล้อที่มาบรรจบกันที่ดุ้มล้อ แม้ระยะทางยาวไกลนับหมื่นลี้ ท่านก็มาอย่างรวดเร็วดุจดาวตก บรรดาพระเถระผู้เป็นปราชญ์ปรีชาก็ได้มาประชุมกันอย่างพร้อมเพียงแล้ว ในสัปดาห์นั้นพระองค์ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทาน แต่เมื่อจะทำการวิสัชนาพระธรรมะ ก็เกรงว่าความวุ่นวายจะเกิดขึ้น
—————————————-
王乃具懷白諸僧曰:「證聖果者住,具結縛者還。」如此尚眾。又重宣令:「無學人住,有學人還。」猶復繁多。又更下令:「具三明、備六通者住,自餘各還。」然尚繁多。又更下令:「其有內窮三藏、外達五明者住,自餘各還。」於是得四百九十九人。王欲於本國,苦其暑濕,又欲就王舍城大迦葉波結集石室。脇尊者等議曰:「不可。彼多外道,異論糺紛,酬對不暇,何功作論?眾會之心,屬意此國。此國四周山固,藥叉守衛,土地膏腴,物產豐盛,賢聖之所集往,靈僊之所遊止。」眾議斯在,僉曰:「允諧。」其王是時與諸羅漢自彼而至,建立伽藍,結集三藏,欲作《毘婆沙論》。
พระราชาจึงกราบเรียนต่อบรรดาคณะสงฆ์ทั้งหลายว่า : “ขอพระคุณเจ้ารูปใดบรรลุถึงอริยผลแล้วจงอยู่ต่อ ส่วนรูปใดยังมีกิเลสพันธนาการอยู่ โยมขอนิมนต์กลับก่อนเถิด”
แม้เช่นนี้ก็ยังมีพระภิกษุจำนวนมาก พระองค์จึงทรงออกประกาศซ้ำอีกครั้งว่า : “ขอพระคุณเจ้ารูปใด ที่เป็นพระอเสขบุคคล (พระอรหันต์สิ้นกิเลส) แล้วจงอยู่ต่อ ส่วนพระเสขบุคคล (โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี) โยมขอนิมนต์กลับก่อนเถิด”
ถึงกระนั้นก็ยังคงมีพระภิกษุจำนวนมาก พระองค์จึงทรงออกประกาศเพิ่มเติมอีกครั้งว่า: “ขอพระคุณเจ้ารูปใด สำเร็จวิชชา ๓ อภิญญา ๖ จงอยู่ต่อ ส่วนที่เหลือนิมนต์กลับ'”
แต่ก็ยังคงมีพระภิกษุจำนวนมาก พระองค์จึงทรงออกประกาศเพิ่มเติมอีกครั้งว่า: “ขอพระคุณเจ้ารูปใดเป็นผู้ทรงจำและเจนจบในพระไตรปิฎก และเข้าใจศาสตร์ภายนอกทั้ง ๕ ประการ จงอยู่ต่อ ส่วนที่เหลือนิมนต์กลับ”
สุดท้ายได้[พระอรหันต์]จำนวน ๔๙๙ รูป พระราชาประสงค์ให้มีการประชุมในแคว้นของพระองค์ แต่ขัดข้องด้วยสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยทั้งร้อนและชื้น ทรงดำริไปยังถ้ำหินที่เมืองราชคฤห์ซึ่งพระมหากัสสปะเคยทำการสังคายนา
พระปารศวะเถระและสงฆ์เหล่านั้นกล่าวว่า: “ไม่สมควร ที่นั่นมีเดียร์ถีย์ลัทธิภายนอกและพวกปรัปวาทมากมาย มีที่ความเห็นที่ขัดแย้งกันจนยุ่งเหยิง จักไม่มีเวลาตอบโต้กันแน่แท้ แล้วไฉนเลยจะมีเวลามาแต่งอรรถกถา ?
[หมายเหตุ : ในขณะนั้นคณะสงฆ์นิกายมหาสังฆิกะ มีอิทธิพลและเจริญในแคว้นมคธ อีกทั้งนิกายสรรวาสติวาทถือตัวเป็นฝ่ายสถวีรวาท จึงไม่ถูกกับนิกายมหาสังฆิกะ ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงปาฏลีบุตร เมืองหลวงแห่งใหม่ของแคว้นมคธ (เมืองราชคฤห์ คือเมืองหลวงเก่า) ]
จิตใจของคณะสงฆ์ในการประชุมนี้ ต่างมุ่งมาที่แคว้นนี้ แคว้นนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาที่มั่นคงทั้ง ๔ ด้าน มีพญายักษ์คอยปกป้อง ดินแดนอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร และเป็นสถานที่ที่เหล่าพระอริยเจ้าและเทพยดามาเยือนและพำนักอยู่'”
พระเถระทั้งปวงก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า : ‘เห็นชอบ”’ พระราชาพร้อมกับพระอรหันต์ทั้งหลายได้เดินทางมาสร้างสังฆารามขึ้นใหม่ ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก และปรารถนาจะแต่งคัมภีอภิธรรมมหาวิภาษาศาสตร์
——————————-
ประธานในการทำสังคายนา
——————————
การทำสังคายนาในครั้งนี้ ในเอกสารทางวิชาการในประเทศไทยกล่าวว่าเป็นการสังคายนาแบบผสม ระหว่างนิกายสรรวาสติวาทและมหายาน แต่จริงแล้วเป็นสังคายนาของฝ่ายสรรวาสติวาท เพียงอย่างเดียว โดยการทำสังคายนาทำเฉพาะพระไตรปิฎกของนิกายสรรวาสติวาท และไม่ได้ทำการสังคายนามหายานสูตรใดเลย
แต่การผสมนั้นหมายความถึงพระสังคีติกาจารย์ จำนวน ๕๐๐ รูป เป็นพระอรหันต์ ๔๙๙ รูปเป็นพระโพธิสัตว์ ๑ รูป
เรื่องเล่าในบันทึกการเดินทางของพระเสวียนจั้ง สรุปโดยย่อดังนี้
พระวสุมิตรครองจีวรมายืนอยู่นอกประตูสังฆารามที่กำลังจะทำสังคายนา พระวสุมิตรถูกตำหนิโดยเหล่าพระอรหันต์ว่า ท่านยังไม่สิ้นกิเลส จึงไม่สมควรปรากฏตัวในที่ประชุมสงฆ์ในครั้งนี้ และแนะนำให้พระวสุมิตรไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุอรหันต์ผลเสียก่อน
แต่พระวสุมิตรตอบว่า ตนมีความเข้าใจในพระสัทธรรมและพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง แต่ปรารถนาพุทธภูมิ มิได้ต้องการอรหันตผล ครั้งนั้นเทวดาในสวรรค์เป็นพยานว่า พระวสุมิตรจะบรรลุพุทธผล และจะสืบทอดตำแหน่งพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตต่อไป เมื่อเห็นดังนั้น เหล่าพระอรหันต์จึงขอโทษและยกย่องพระวสุมิตรให้เป็นพระเถระชี้ขาดในการทำสังคายนา
โดยการทำสังคายนานั้น นักวิชาการสันนิษฐานว่า เป็นการรวบรวมพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม ภาษาปรากฤต ในท้องถิ่นอินเดียเหนือ โดยเฉพาะภาษาปรากฤตคานธารี แล้วปริวรรตออกเป็นภาษาสันสกฤต อันเป็นภาษาราชการของจักรวรรดิกุษาณะ พร้อมแต่งคัมภีร์อรรถกถาขยายความ พระไตรปิฎกอีก ๓ คัมภีร์ ทำในสถานที่ชื่อว่า กุณฑลวันวิหาร (ปัจจุบันสันนิษฐานว่า คือหมู่พุทธสถาน Harwan Buddhist Monastery ชานเมืองศรีนคร รัฐชัมมูและแคชเมียร์)
——————————-
ผลของการทำสังคายนา
——————————
是五百賢聖,先造十萬頌《鄔波第鑠論》(舊曰《優波提舍論》,訛也)。釋《素呾纜藏》(舊曰《修多羅藏》,訛也)。次造十萬頌《毘柰耶毘婆沙論》,釋《毘奈耶藏》(舊曰《毘那耶藏》,訛也)。後造十萬頌《阿毘達磨毘婆沙論》,釋《阿毘達磨藏》(或曰《阿毘曇藏》,略也)。凡三十萬頌,九百六十萬言,備釋三藏,懸諸千古,莫不窮其枝葉,究其淺深,大義重明,微言再顯,廣宣流布,後進賴焉。
พระอริยเจ้า ๕๐๐ รูป ได้ร้อยกรอง คัมภีร์อุปเทศศาสตร์《鄔波第鑠論》๑ แสนคาถา (โบราณเรียกว่า 《優波提舍論》เป็นการออกเสียงผิด) เป็นอรรถกถาขยายความ พระสุตตันตปิฎก《素呾纜藏》 (โบราณเรียกว่า 《修多羅藏》 ซึ่งเป็นการออกเสียงผิด)
ได้ร้อยกรอง คัมภีร์วินัยวิภาษาศาตร์ 《毘柰耶毘婆沙論》๑ แสนคาถา เป็นอรรถกถาขยายความ พระวินัยปิฎก 《毘奈耶藏》(โบราณเรียกว่า 《毘那耶藏》 ซึ่งเป็นการออกเสียงผิด)
ได้ร้อยกรอง คัมภีร์อภิธรรมวิภาษาศาตร์ 《阿毘達磨毘婆沙論》๑ แสนคาถา เป็นอรรถกถาขยายความ พระอภิธรรมปิฎก 《阿毘達磨藏》 หรือเรียกย่อว่า 《阿毘曇藏》
รวม ๓ แสนคาถา เป็นจำนวน ๙ ล้าน ๖ แสนคำ ซึ่งได้อรรถาธิบายพระไตรปิฎก ที่ถูกสืบทอดมาอย่างยาวนาน มีเนื้อความประกอบไปด้วยเสมือนกิ่งก้านที่แตกแขนงมากมายจนมิอาจทราบความได้ การแจกแจงเนื้อความทั้งความง่ายและลึกซึ่งในครั้งนี้ ทำให้เห็นหลักใหญ่ชัดเจน ข้อความที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้จะถูกอธิบายอีกครั้ง และแพร่หลายออกไปให้กว้างขวาง เหล่าอนุชนจักได้อาศัยประโยชน์จากสิ่งนี้
迦膩色迦王遂以赤銅為鍱,鏤寫論文,石函緘封,建窣堵波,藏於其中。命藥叉神周衛其國,不令異學持此論出,欲求習學,就中受業。於是功既成畢,還軍本都。出此國西門之外,東面而跪,復以此國總施僧徒。
พระเจ้ากนิษกะรับสั่งให้นำแผ่นทองแดง มาจดจารจารึกข้อความเหล่านั้นไว้ จากนั้นจึงบรรจุลงในหีบศิลาและสร้างพระสถูปขึ้นมา เพื่อเก็บรักษาปิฎกไว้ในนั้น
พระองค์ยังได้มีพระบัญชาให้เหล่ายักษ์คอยป้องกันรักษาอาณาจักร เพื่อไม่ให้พวกเดียรถีย์นำคัมภีร์เหล่านี้ออกไป เพื่อไว้ให้เป็นที่ศึกษาหาความรู้จากคัมภีร์เหล่านี้
เมื่อทรงจัดสังคายนาสำเร็จลง ทรงเสด็จนิวัตพระนครหลวงของพระองค์ จากนั้นได้ออกไปยังประตูเมืองทางตะวันตก หันไปทางตะวันออกและทรงคุกพระชงฆ์ลง ถวายเมืองแก่คณะสงฆ์พร้อมบริษัททั้งปวง
——————————
ภาพในจินตนาการ พระเจ้ากนิษกะ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักวรรดิกุษาณะ พร้อมหมู่ภิกษุในกัศมีระ พระเจ้ากนิษกะทรงครองผ้ากาษายะสำหรับฆราวาส ก่อนที่จะทรงศีล เมื่อจะสมาทานศีลจะเปลื้องเครื่องทรงออก ตามแบบประเพณีในพุทธศาสนาฝ่ายอินเดียเหนือ
Be the first to comment on "การสังคายนาที่กัศมีระ"