
๔. น้ำตาของอสิตฤาษี
เมื่อพระกุมารประสูติใหม่ ๆ อสิตฤาษี หรือเรียกอีกนามว่า กาฬเทวิล หรือ กัณหสิริ เป็นฤาษีซึ่งเป็นที่คุ้นเคยและนับถือของราชสกุลศากยะ
อสิตฤาษีได้ทราบว่าพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะประสูติ จึงลงจากเชิงเขาหิมพานต์ เข้าไปเยี่ยม
พระเจ้าสุทโธทนะทรงอุ้มพระราชโอรสออกมาเพื่อให้นมัสการอสิตฤาษี
และท่านเมื่อพิจารณาพระลักษณะของพระราชโอรสแล้ว ท่านก็ได้แย้มยิ้มแช่มชื่นออกมา จากนั้นก็เสียใจร้องไห้
ผิดวิสัยของผู้ทรงศีลผู้มีฤทธิ์ เป็นที่ประหลาดใจแก่พวกศากยะ
ท่านจึงบอกว่า ที่แย้มยิ้มเพราะพระกุมารนี้จะทรงบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้า
ที่ร้องไห้เพราะว่าตัวท่านเองจะสิ้นชีพไปก่อนไม่ทันได้อยู่ฟังธรรม
ตามความใน สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต นาลกสูตร ความว่า
ลำดับนั้น เจ้าศากยะทั้งหลาย ได้ทรงนำพระกุมาร ผู้ทรงเปล่งปลั่งดังทอง ที่ปากเบ้าซึ่งช่างทองผู้ชำนาญหลอมดีแล้ว
ทรงรุ่งเรืองยิ่งด้วยพระสิริ มีพระฉวีวรรณผุดผ่องเป็นพระโอรสผู้ประเสริฐออกมาให้อสิตฤๅษีเฝ้าชมพระบารมีอสิตฤๅษีได้เห็นพระกุมารผู้ทรงรุ่งเรืองดังเปลวไฟ เหมือนดวงจันทร์เพ็ญลอยเด่นในนภากาศ
มีแสงพราวกว่าหมู่ดาว ดุจดวงอาทิตย์พ้นจากเมฆแผดแสงอยู่ในสารทกาล
จึงเกิดความยินดี ได้รับปีติไพบูลย์
พออุ้มพระกุมารผู้ประเสริฐไว้แล้ว อสิตฤๅษีผู้เรียนจบลักษณะมนตร์ ก็ตรวจพิจารณาลักษณะ มีจิตเลื่อมใส
ได้เปล่งวาจาว่า “พระกุมารนี้ไม่มีผู้อื่นเยี่ยมกว่า เป็นผู้สูงสุดในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า”
ครั้นแล้ว อสิตฤๅษีหวนระลึกถึงการที่ตนต้องไปเกิด ก็ระทมใจจนน้ำตาไหล
ซึ่งเจ้าศากยะทั้งหลายได้ทอดพระเนตรเห็นฤๅษีร้องไห้เช่นนั้น จึงตรัสถามว่า พระกุมารจะมีอันตรายหรืออย่างไร
อสิตฤๅษีได้ทูลเจ้าศากยะทั้งหลาย ผู้ทอดพระเนตรเห็นแล้วไม่ทรงสบายพระทัยว่า
“ไม่ใช่อาตมภาพระลึกถึงสิ่งที่เป็นอัปมงคลในพระกุมาร และก็ไม่ใช่พระกุมารนั้นจะทรงมีอันตราย
พระกุมารนี้ไม่เป็นผู้ต่ำต้อยเลย ขอมหาบพิตรทั้งหลายจงสบายพระทัยเถิด”
พระกุมารนี้จะทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ จะทรงเห็นนิพพานที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง
จะทรงบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน จักประกาศธรรมจักร
พรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จะเผยแผ่ขจรไปอย่างกว้างขวาง
Be the first to comment on "๔. น้ำตาของอสิตฤาษี"