พระธาตุข้าใครอย่าแตะ
เมื่อพระจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีปถูกนักเลงบ้านนอกลักพาตัว เรื่องเล่าในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายสันสกฤต ของเหล่านาคแห่งรามคาม แม้พระเจ้าอโศกมหาราช ยังต้องยอม
นาคแห่งรามคาม (สันสกฤต : รามคฺราม) นี้เป็นกลุ่มนาคท้องถิ่นที่ได้รับการกล่าวถึงในชั้นพระสูตรเลยทีเดียว พบทั้งในพระสูตรฝ่ายบาลีและสันสกฤต คือปรากฎใน มหาปรินิพพานสูตร ยังกล่าวถึงในอรรถกถาบาลี และ อวทานและวรรณคดีฝ่ายสันสกฤต ซึ่งรวมไปถึงฉบับแปลจีนด้วย เรื่องนาคแห่งรามคาม เล่าขานต่อมา ยังปรากฎในบันทึกของ พระฟาเหียน พระสมณเสวี้ยนจัง เมื่อคราวเดินทางไปอินเดียด้วย แต่ในรายละเอียดนาคแห่งรามคาม ในฝ่ายบาลีและสันสกฤตมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างกันอยู่หลายแห่ง
ขอนำเสนอจากคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเหนือ สัก ๓ คัมภีร์
๑.คัมภีร์ทิวยาวทาน อโศกาวทาน
๒.มหากาพย์พุทธจริต ของอัศวโฆษ
๓.จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง ของพระเสวียนจั้ง
ผู้เขียนของเกริ่นเล่ารายละเอียดนาคแห่งรามคาม
นาคแห่งรามคาม (สันสกฤต : รามคฺราม) นี้เป็นกลุ่มนาคท้องถิ่นที่ได้รับการกล่าวถึงในชั้นพระสูตร เป็นกลุ่มนาคเฝ้าพระสถูปที่เมืองรามคาม ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นส่วนแบ่งของเหล่ากษัตริย์แห่งแคว้นโกลิยะซึ่งเป็น ๑ ใน ๘ พระสถูป หลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้าที่เมืองกุสินารา
เมื่อครั้นต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมีพระประสงค์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากพระสถูปทั้ง ๘ แห่งเพื่อสร้างพระสถูปใหม่ทั่วทั้งจักรวรรดิ พระองค์ไม่สามารถเปิดพระสถูปที่เมืองรามคามนี้ได้ เนื่องจากพวกนาคหวงห้ามไว้ และเรื่องราวของนาครามคามนี้ อาจเป็นเค้ามูลความเชื่อเรื่องนาครักษาพระสถูป
นาคแห่งรามคาม ปรากฏความทั้งในพระสูตรฝ่ายบาลีและสันสกฤต คือปรากฎใน มหาปรินิพพานสูตร ทั้งฝ่ายบาลีเถรวาท และ มหาปรินิรวาณสูตรฝ่ายสันสกฤตของนิกายสรรวาสติวาท (มหาปรินิรวาณสูตรอย่างสาวกยาน มิใช่มหาปรินิรวาณสูตรของมหายาน ) มหาปรินิพพานสูตร ฉบับบาลีสยามรัฐ กล่าวว่า
———————————-
เอกญฺจ โทณํ ปุริสวรุตฺตมสฺส
รามคาเม นาคราชา มเหนฺติ ฯ*
———————————-
มหาปรินิรวาณสูตร ภาษาสันสกฤต ฉบับถอดความ ของ Ernst Waldschmidt ใน Das Mahāparinirvāṇasūtra ที่พบในตูร์ฟาน(เขตซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน) ถอดเป็นอักษรโรมัน ไว้กล่าวว่า
———————————-
droṇam ekaṃ ca puruṣottamasya
rāmagrāme pūjyate nāgarājñā ।
———————————-
โทฺรณมฺ เอกํ จ ปุรุโษตฺตมสฺย
รามคฺราเม ปูชฺยเต นาคราชฺญา ฯ
———————————-
มีความหมาย นัยยะเดียวกัน คือ
[ส่วนพระสรีระอีก]ทะนานหนึ่งของผู้เป็นบุรุษที่ประเสริฐอันสูงสุด พวกนาคราชบูชากันอยู่ในรามคาม
———————————-
เรื่องราว นาคแห่งรามคาม ถูกขยายความและ ยังกล่าวถึงในอรรถกถาบาลี พงศาวดารในลังกา เช่นใน สุมังคลวิลาสินี, มหาวงศ์, ทีปวงศ์, ถูปวงศ์ เป็นต้น และในอวทานและวรรณคดีฝ่ายสันสกฤต ซึ่งรวมไปถึงฉบับแปลจีนและทิเบตด้วย เช่นใน คัมภีร์ทิวยาวทาน อโศกาวทาน หรือในชื่ออื่นๆ เช่น อโศกราชาวทาน หรือ อโศกราชสูตร (阿育王經 : พระสังฆปาละ จากอาณาจักรฟูนันแปลเป็นจีน) มหากาพย์พุทธจริต ของอัศวโฆษ
ยังปรากฎข้อความในงานเขียนในจีน เช่นใน ลำดับศากยวงศ์ (釋迦譜 : Shìjiā pǔ) ในสมัยราชวงศ์เหลียง เป็นต้น และในวรรณคดีพุทธประวัติในไทย เช่น คัมภีร์ปฐมสมโพธิ ซึ่งฉบับเก่าแก่สุดคาดว่าแต่งในล้านนา และแต่งเพิ่มเติมในสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์
เรื่องพระราชประวัติและกรณียกิจของพระเจ้าอโศกในคัมภีร์ชั้นหลังของฝ่ายบาลีและสันสกฤต หลายคัมภีร์มีข้อแตกต่างกันอยู่มาก
แต่ในเรื่องของนาครามคามที่หวงห้ามพระสถูป และการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุทั้ง ๘ แห่งเพื่อสร้างพระสถูปใหม่ทั่วทั้งจักรวรรดิดูจะคล้ายกันมากที่สุด ถึงแม้เหตุการณ์หลังจากนี้ในคัมภีร์ทั้งสองฝ่าย ก็กล่าวต่างกันไปอีก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าอโศกทรงเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้และไม่ได้ทำการเปิดพระสถูปแห่งนี้ออกมา
โดยในคัมภีร์สายบาลีเถรวาทมักจะกล่าวว่าตาม คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ว่า เมื่อพระเจ้าอโศกมีบัญชาให้ขุดเพื่อเปิดพระสถูปที่รามคาม จอบที่ใช้ขุดเมื่อตกต้ององค์พระสถูป ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย เพราะเหตุว่า เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระสถูป (แม้ภายหลังจะมีกล่าวใน มหาวงศ์ พงศาวดารของลังกา เล่าอย่างปรัมปราว่า พระบรมสารีริกธาตุในรามคามถูกอัญเชิญไปไว้ที่ลังกา)
ส่วนคัมภีร์สายสันสกฤตมักกล่าวว่าตาม คัมภีร์ของนิกายสรรวาสติวาท ซึ่งอาจจะเป็น คัมภีร์อโศกาวทาน ว่า
เมื่อพระเจ้าอโศกได้ไปถึงพระสถูปที่รามคราม พญานาคราช ผู้เป็นราชาพวกนาครามคราม ได้พาพระเจ้าอโศกไปยังนาคพิภพ เพื่อทูลขอไม่ให้พระองค์รื้อพระสถูป เพราะพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในพระสถูปเป็นที่เคารพรักอันยิ่งของพวกนาค
[การแปลหากขาดตกบกพร่องอย่างไร ผู้รู้โปรดชี้แนะ]
๑.นาคแห่งรามคราม ใน คัมภีร์ทิวยาวทาน อโศกาวทาน
เกริ่นอย่างย่อ ๆ หลังจากถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้าที่เมืองกุสินาราแล้ว กษัตริย์แคว้นต่างๆทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ได้มาขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อนำไปยังแคว้นของตน ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุถูกแบ่งออกเป็น ๘ ส่วน ส่วนละ ๑ โทรณะ(ทะนาน) เท่ากัน แบ่งไปบรรจุในสถูปเมืองเมืองเหล่านั้น ๘ เมือง
ส่วนแบ่งหนึ่งในนั้นคือ ส่วนแบ่งของเหล่ากษัตริย์แห่งแคว้นโกลิยะ พวกนี้เป็นเครือญาติฝ่ายพระมารดาของพระพุทธเจ้า ได้รับมา ๑ โทรณะ แล้วสร้างพระสถูปบรรจุไว้ที่เมืองรามคาม (รามคาม จริงๆ แล้วเป็นคนละเมืองกับเมืองเทวทหะ) โดยพระสถูปนั้นเป็นที่บูชาและรักษาของพวกนาคในเมืองรามคามนั้นด้วย
ในกาลต่อมาหลายร้อยปี จะกล่าวถึงพระเจ้าอโศกผู้ช่วงชิงราชสมบัติพระเชษฐาได้สำเร็จ เมื่อหลังเสวยราชสมบัติ ก็ทรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา ทรงมีพระประสงค์จะสร้างพระสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุทั่วจักรวรรดิของพระองค์ ตามความใน คัมภีร์ทิวยาวทาน อโศกาวทาน นำเสนอจาก ฉบับ Sahitya Akademi, 1963. ความว่า
ततो राजा भगवच्छरीरधातुं विस्तरिष्यामीति चतुरङ्गेण बलकायेन गत्वाजातशत्रुप्रतिष्ठापितं द्रोणस्तूपमुत्पाट्य शरीरधातुं गृहीतवान् ।
ตโต ราชา ภควจฺฉรีรธาตุํ วิสฺตริษฺยามีติ จตุรงฺเคณ พลกาเยน คตฺวาชาตศตฺรุปฺรติษฺฐาปิตํ โทฺรณสฺตูปมุตฺปาฏฺย ศรีรธาตุํ คฤหีตวานฺ ฯ
เมื่อพระราชา(พระเจ้าอโศก) มีพระราชประสงค์ที่จะทรงแบ่งพระสารีริกธาตุของพระภาคเจ้าให้กว้างขว้างออกไป จึงยกพลพร้อมด้วยทัพทั้ง ๔ *เสด็จไปยังโทรณสถูป** ที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้ประดิษฐานไว้ โปรดให้เปิดพระสถูป เพื่ออัญเชิญพระธาตุอันประเสริฐออกมา
* ทัพทั้ง ๔ หรือ จาตุรงคเสนา ได้แก่ พลช้าง พลม้า พลรถศึก พลราบ ** โทรณสถูป ในที่นี้ หมายเอา บรรดาพระสถูปหลักที่ได้รับการแบ่งพระบรมธาตุทั้ง ๘ แห่ง มีพระบรมธาตุบรรจุจำนวนพระสถูปละ ๑ โทรณะ (ส. โทฺรณ บ. โทณ)
—————
यत्र उद्धारणं च विस्तरेण कृत्वा धातुप्रत्यंशं दत्त्वा स्तूपं प्रत्यस्थापयत् ।
ยตฺร อุทฺธารณํ จ วิสฺตเรณ กฤตฺวา ธาตุปฺรตฺยํศํ ทตฺตฺวา สฺตูปํ ปฺรตฺยสฺถาปยตฺ ฯ
ครั้นเปิดแล้ว ให้อัญเชิญพระธาตุออกมาทั้งหมด ในการแบ่งนั้นทรงให้อัญเชิญพระธาตุบางส่วนกลับเข้าไปในพระสถูปเดิม ส่วนเหลือจากนั้นนำไปบรรจุในพระสถูปที่สถาปนาขึ้นใหม่
—————
एवं द्वितीयं स्तूपं विस्तरेण । भक्तिमतो यावत् सप्तद्रोणाद् ग्रहाय स्तूपांश्च प्रतिष्ठाप्य रामग्रामं गतः ।
เอวํ ทฺวิตียํ สฺตูปํ วิสฺตเรณ ฯ ภกฺติมโต ยาวตฺ สปฺตโทฺรณาทฺ คฺรหาย สฺตูปําศฺจ ปฺรติษฺฐาปฺย รามคฺรามํ คตะ ฯ
ทรงกระทําการแบ่งเช่นนี้กับ โทรณสถูปองค์ที่ ๒ และด้วยความเลื่อมใสเป็นอันมากของพระองค์กับพระสถูปทั้งหลายที่จะประดิษฐาน ทรงกระทําเช่นนี้จนถึง โทรณสถูปองค์ที่ ๗ จากนั้นเสด็จไป รามคราม*
*รามคราม มีโทรณสถูปองค์ที่ ๘
—————
ततो राजा नागैर्नागभवनमवतारितः ।
ตโต ราชา นาไครฺนาคภวนมวตาริตะ ฯ
ครั้นถึงที่แล้ว เหล่านาคได้กุมพระราชาไว้ และฉุดพระองค์ลงไปยังนาคพิภพ
—————
विज्ञप्तश्च । वयमस्य शरीरधातोः अत्रैव पूजां करिष्याम इति । यावद् राज्ञाभ्यनुज्ञातं ।
วิชฺญปฺตศฺจ ฯ วยมสฺย ศรีรธาโตะ อไตฺรว ปูชํา กริษฺยาม อิติ ฯ ยาวทฺ ราชฺญาภฺยนุชฺญาตํ ฯ
แล้วทูลว่า พวกเราจะกระทำการบูชาพระสารีริกธาตุ ใน ณ สถานที่แห่งนี้เท่านั้น ดังนี้
เมื่อนั้น พระราชาจึงโปรดอนุญาต (พระเจ้าอโศกรับปาก ไม่นำพระธาตุออกมาจากพระสถูป)
—————
ततो नागराजेन पुनरपि नागभवनादुत्तारितः । वक्ष्यति हि ।
ตโต นาคราเชน ปุนรปิ นาคภวนาทุตฺตาริตะ ฯ วกฺษฺยติ หิ ฯ
จากนั้น พญานาคราชจึงนําพระองค์ออกจากนาคพิภพแล้วส่งกลับคืน มีคำกล่าวพรรณนา ดังนี้ว่า
(พญานาคราช ผู้เป็นพระราชาของนาคในรามคราม)
—————
रामग्रामे ऽस्ति त्वष्टमं स्तूपमद्य नागास्तत्कालं भक्तिमन्तो ररक्षुः ।
รามคฺราเม ‘สฺติ ตฺวษฺฏมํ สฺตูปมทฺย นาคาสฺตตฺกาลํ ภกฺติมนฺโต รรกฺษุะ ฯ
ในวันนี้ ที่รามคราม มีพระสถูปองค์ที่ ๘ ยังคงปรากฏอยู่ เพราะในครานั้นเหล่านาคได้เฝ้ารักษาด้วยความภักดี ฯ
—————
धातूनेतस्मान् नोपलेभे स राजा श्रद्धालू राजा यस्त्वकृत्वा जगाम ॥
ธาตูเนตสฺมานฺ โนปเลเภ ส ราชา ศฺรทฺธาลู ราชา ยสฺตฺวกฤตฺวา ชคาม ๚
พระราชาจึงมิได้อัญเชิญพระธาตุออกมา พระราชาทรงมิได้กระทำการใดเลย แล้วเสด็จออกจากที่นั่นด้วยความศรัทธา
—————
——————————-
๒. นาคแห่งรามคราม ใน มหากาพย์พุทธจริต
มหากาพย์พุทธจริต ของอัศวโฆษ (बुद्धचरित) สรรคะ ที่ ๒๘ การแจกพระบรมสารีริกธาตุ ในสรรคะ ที่ ๒๘ นี้ ต้นฉบับสันสกฤตดั้งเดิมสูญหาย เหลือเฉพาะฉบับแปลภาษาจีน และ ทิเบต ในฉบับจีน คือ 佛所行讚 (Fó suǒxíng zàn) แปลโดย พระธรรมเกษม (曇無讖 : धर्मक्षेम) แปลเป็นภาษาจีนราวปี พ.ศ. ๙๖๓ ในสมัยเหลียง ราชวงศ์เหนือ ความว่า
無憂王出世, 強者能令憂,劣者為除憂,如無憂花樹。
เมื่อพระเจ้าอโศกได้อุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นผู้สามารถประทานความโศกเศร้าแก่ผู้ที่แข็งกร้าว* และถอนความโศกเศร้าจากผู้ที่อ่อนแอได้** ดุจดอกของต้นอโศก*** ฉะนั้น
(*อริราชศัตรู **หมู่ราษฎร ***ต้นอโศก ต้นไม้แห่งความไม่โศกเศร้า)
—————
王於閻浮提,心常無所憂,深信於正法,故號無憂王。
ทรงเป็นราชาปกครองทั่วชมพูทวีป มีจิตพ้นแล้วจากความโศกตลอดกาล* เพราะทรงมีศรัทธาปสาทะในพระสัทธรรม ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า พระเจ้าอโศก
(* เพราะเหตุว่าทรงบรรลุโสดาบัน)
—————
孔雀之苗裔,稟正性而生,普濟於天下,兼起諸塔廟,本字強無憂,今名法無憂。
ทรงเป็นเชื้อสายแห่งราชวงศ์แห่งนกยูง* ได้รับสิทธิ์อันชอบธรรมและสิ่งที่พระองค์กระทำให้มีขึ้นเสมอกันทั่วทั้งทวีป คือการสร้างพระสถูปเจดีย์จำนวนมาก แต่เดิมพระองค์ถูกเรียกว่า พระเจ้าอโศกผู้โหดร้าย** มาบัดนี้พระองค์ถูกเรียกว่า พระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม***
( *ราชวงศ์เมารยะ **จัณฑาโศก **ธรรมาโศก)
—————
開彼七王塔,以取於舍利,分布一旦起,八萬四千塔。
ทรงเปิดพระสถูปที่สร้างโดยพระราชาทั้ง ๗ * โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกมา ทรงให้แบ่งใหม่และส่งออกไปในที่ต่าง ๆ เพียงชั่วอรุณรุ่งเดียวเท่านั้น ได้แบ่งไปบรรจุในสถานที่อื่น ๆ ถึง ๘๔๐๐๐ แห่ง
(* กษัตริย์ผู้ที่รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ )
—————
唯有第八塔,在於摩羅村,神龍所守護,王取不能得。
เว้นเสียแต่พระสถูปแห่งที่ ๘ ใกล้หมู่บ้านรามะ (รามคฺราม) นั้นยังคงอยู่ เหตุเพราะนาคผู้มีฤทธิ์รักษาไว้ พระราชาไม่สามารถอัญเชิญออกมาได้
( คุณ Rujji Songthanapithak ได้ทักท้วงมาว่า ต้นฉบับภาษาจีนใช้ 摩羅村 เป็นการสลับกันจาก รามะ เป็น มาระ เมื่อตรวจสอบแล้วเชิงอรรถคัมภีร์ มีหมายเหตุว่า ต้นฉบับมีการสลับอักษรจริง ที่ถูกต้องคือ 羅摩村)
—————
雖不得舍利,知佛有遺骼,神龍所供養,增其信敬心。
เหตุว่าไม่สามารถนำพระบรมสารีริกธาตุออกมาได้ พึงทราบว่าเป็นเพราะพระอัฐิของพระพุทธเจ้าส่วนนี้ เป็นส่วนที่ตกแก่เหล่านาคผู้มีฤทธิ์ไว้เป็นที่บูชารักษา* ด้วยเหตุดังนี้ ยังให้พระองค์(พระเจ้าอโศก) มีจิตเคารพศรัทธายิ่งขึ้น
* อ่านรายละเอียดในปรินิพพานสูตร
—————
๓.นาคแห่งรามคราม ใน จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง ของพระเสวียนจั้ง
พระถังซัมจั๋งกับเรื่องเล่าท้องถิ่นเรื่อง: นาคแห่งพระสถูปเมืองรามะและพระเจ้าอโศก เรื่องนาคแห่งรามคาม เล่าขานต่อมา ยังปรากฎในบันทึกของ พระฟาเหียน และพระถังซัมจั๋ง (พระสมณเสวี้ยนจัง) เมื่อคราวเดินทางไปอินเดียด้วย พระถังซัมจั๋ง แปลว่า พระตรีปิฏกาจารย์แห่งราชวงศ์ถัง ตรีปิฏกาจารย์ หมายถึง อาจารย์ผู้แตกฉานพระไตรปิฏก ในที่นี้หมายถึง พระอาจารย์เสวียนจั้ง (จีน: 玄奘 : Xuánzàng) ผู้จาริกแสวงบุญในอินเดีย เพื่อนำคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายสันสกฤตกลับจีน ราวปี พ.ศ. ๑๑๗๐ ตรงกับรัชสมัยของ จักรพรรดิถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถังของจีน และจักรพรรดิหรรษวรรธนะ แห่งราชวงศ์วรรธนะ ของอินเดีย
พระถังซัมจั๋ง เป็นผู้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ภายหลัง อู๋ เฉิงเอิน(吳承恩) นักกวีชาวจีน สมัยราชวงศ์หมิง นำท่านไปเป็น ตัวเอก ในนิยายไซอิ๋ว
ท่านมีคุณูปการต่อพุทธศาสนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นอย่างมาก ในแง่การนำคัมภีร์จำนวนจากอินเดียไปแปลในแผ่นดินจีน อีกทั้งมีความสำคัญกับชาวพุทธ ในการระบุพุทธสถานในอินเดีย ในยุคปัจจุบัน จากจดหมายที่ท่านได้บันทึกไว้คราเดินทางมาอินเดีย มีรายละเอียดทางภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ผู้คน จารีตประเพณี วัฒนธรรม ภาษา ศาสนา ตำนานพื้นเมือง การเมืองการปกครอง กฎหมาย การทหารของแว่นแคว้นต่างๆ ในอินเดียเมื่อหนึ่งพันกว่าปีที่แล้วไว้อย่างละเอียด และมีการรวบรวมเรียบเรียงขึ้นโดยคำนิมนต์ของจักรพรรดิถังไท่จง ในชื่อว่า
จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง (大唐西域記) ในบรรพที่ ๖ ของบันทึกนี้ กล่าวถึงการเดินทางของท่านใน ๔ เมือง คือ ทับศัพท์ ภาษาสันสกฤต และบาลีดังนี้
———————————-
๑. 室羅伐悉底 (Shì luó fá xī dǐ)
คือ เมืองศราวัสตี (สันสกฤต. श्रावस्ती : śrāvastī : ศฺราวสฺตี )
หรือ สาวัตถี (บาลี. sāvatthī : สาวตฺถี)
———————————-
๒. 劫比羅伐窣堵 ( Jié bǐ luó fá sù dǔ )
เมืองกปิลวัสตุ (สันสกฤต. कपिलवस्तु : Kapilavastu : กปิลวสฺตุ )
หรือ กปิลวัตถุ (บาลี. kapilavatthu : กปิลวตฺถุ) ไทยเรียก เมืองกบิลพัสดุ์
———————————-
๓. 藍摩 (Lán mó )
คือ เมืองรามะ หรือ บ้านรามะ
หรือ รามคราม (สันสกฤต. रामग्राम : rāmagrāma : รามคฺราม )
หรือ รามคาม (บาลี. rāmagāma : รามคาม)
* คาม (คามะ) หรือ คฺราม (ครามะ) แปลว่า ชุมชน หรือ หมู่บ้าน
———————————-
๔. 拘尸那揭羅 (Jū shī nà jiē luó )
คือ เมืองกุศินคร (สันสกฤต. कुशिनगर : Kuśinagara : กุศินคร )
หรือ กุสินารา (บาลี. kusinārā : กุสินารา)
———————————-
หรือชื่อในชาดกบาลีว่า กุสาวตี (บาลี. kusāvatī : กุสาวตี) ไทยเรียก กุสาวดี
ในคัมภีร์ฝ่ายสันสกฤตยังออกชื่อเมืองนี้ไว้อีกหลายแบบ เช่น กุศินารา, กุศินครี, กุศิคราม, กุศนคร
ในบรรพที่ ๖ เมื่อท่านมาถึง เมืองรามะ หรือ รามคาม ท่านได้บันทึกเรื่องเล่าท้องถิ่นของ พระเจ้าอโศกที่ได้เสด็จมาที่พระสถูปในเมืองนี้ เพื่อเปิดพระสถูปนำพระบรมสารีริกธาตุมาแบ่งใหม่ และได้พบกับเหล่านาคที่เฝ้าพระสถูป ความว่า
————————-
至藍摩國 (中印度境)。
ครั้นอาตมาได้มาถึงเมืองรามะ* (ตอนกลางของสินธุประเทศ[1])
* คือ รามคาม หรือ รามคราม ณ ที่นี้ท่านเรียกเป็นเมือง 國 อโศกาวทาน พุทธจริต ฉบับแปลจีน เรียกเป็น บ้าน 村 (บาลี : คาม, สันสกฤต : คฺราม แปลว่า ชุมชน หรือ หมู่บ้าน)
————————-
藍摩國,空荒歲久,疆場無紀,城邑丘墟,居人稀曠。
เมืองรามะนี้ ได้ถูกทิ้งร้างมาหลายปี ขอบเขตสถานที่ต่างๆไม่ปรากฎชัดเจน ในเขตเมืองและหมู่บ้านเหลือเพียงแต่ซากปรักหักพัง มีประชากรอยู่อาศัยเบาบาง
————————-
故城東南有甎窣堵波,高減百尺。
ที่ซากเมืองเก่าด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีพระสถูปอิฐมีความสูงน้อยกว่า ๑๐๐ ฉื่อ [2]
————————-
昔者如來入寂滅已,此國先王分得舍利,持歸本國,式遵崇建,靈異間起,神光時燭。
แต่กาลก่อน ครั้นพระตถาคตเจ้าได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว บูรพกษัตริย์แห่งเมืองนี้ได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุมา ได้อัญเชิญกลับมายังเมืองของพระองค์ และสร้างพระสถูปเพื่อบรรจุไว้สำหรับเป็นที่เคารพบูชา บางคราวองค์พระสถูปแสดงเหตุอัศจรรย์ และมักเปล่งรัศมีเป็นแสงไฟอยู่เนือง ๆ
————————-
窣堵波側有一清池,龍每出遊,變形蛇服,右旋宛轉,繞窣堵波,野象群行,採花以散,冥力警察,初無間替。
ด้านข้างส่วนหนึ่งของพระสถูปมีสระน้ำใสอยู่ ๑ สระ มักมีนาคออกมาจากที่นั้น จำแลงกายเป็นงู ออกมาทำทักษิณาวรรต เวียนรอบพระสถูป ยังมีโขลงช้างป่านำเอาดอกไม้มาโปรยที่พระสถูป ซึ่งภูตมีฤทธิ์เหล่านี้ได้ทำการเฝ้าระวังตรวจตรา ผลัดเปลี่ยนกันอย่างไม่ขาดสาย*
*เป็นที่น่าสังเกตว่า คำว่า นาค นี้ในภาษาบาลีสันสกฤตยังแปลว่าช้างได้ด้วย
————————-
昔無憂王之分建窣堵波也,七國所建,咸已開發,
เมื่อกาลต่อมาในสมัยพระเจ้าอโศก พระองค์มีพระประสงค์จะสร้างพระสถูปให้กว้างขวางออกไป ซึ่งในครานั้นยังมีเมือง อยู่ ๗ เมือง มีพระสถูปที่ถูกสร้างไว้มาแต่เดิม ทรงให้เปิดพระสถูปเหล่านั้นแล้วอัญเชิญ[พระธาตุ]ออกมา
————————-
至於此國,方欲興功,而此池龍恐見陵奪,乃變作婆羅門,
จากนั้นเสด็จมาที่เมืองนี้ ด้วยมีพระประสงค์จะทำการอัญเชิญ[พระธาตุ] นาคในสระน้ำนั้นบังเกิดความกลัวเพราะเล็งเห็นว่าพระธาตุในพระสถูปจะถูกแย่งชิงไป จึงได้จำแลงกายเป็นพราหมณ์
————————-
前叩象曰:「大王情流佛法,廣樹福田,敢請紆駕,降臨我宅。」
ออกไปขวางเบื้องหน้าช้างพระที่นั่งแล้วทูลถามว่า ข้าแต่มหาราช หากแม้นพระองค์มีเจตนาให้กระแสพระธรรมของพระพุทธเจ้าแพร่ออกไป และหวังในการเพาะปลูกในปุณยเกษตร(เขตแห่งบุญ)ให้ไพบูลย์แล้วไซร้ หม่อมฉันขอท้าพระองค์ให้ลงจากช้างทรงและลดพระองค์เสด็จไปบ้านของหม่อมฉัน
————————-
王曰:「爾家安在,為近遠乎?」
พระราชาตรัสถามว่า “บ้านของท่านอยู่ที่ใหน ใกล้ไกลเพียงใด”
————————-
婆羅門曰:「我,此池之龍王也。承大王欲建勝福,敢來請謁。」
พราหมณ์ตอบว่า “หม่อมฉันเป็นพญานาคราชอยู่ที่สระแห่งนี้ ข้าแต่มหาราชได้ยินว่าพระองค์ปรารถนาจะสร้างบุญอันวิเศษ หม่อมฉันจึงกล้าที่จะมาเชิญชวนเพื่อขอทูลถามบางสิ่ง”
————————-
王受其請,遂入龍宮。
พระราชาทรงตอบรับการเชิญนี้ ทรงเสด็จเข้าไปในนาคพิภพ
————————-
坐久之,龍進曰:「我惟惡業,受此龍身,供養舍利,冀消罪咎,願王躬往,觀而禮敬。」
ครั้นพระราชาประทับคอยท่าอยู่นานพอสมควร นาคราชเข้าไปแล้วจึงตรัสว่า : “ด้วยอกุศลกรรมของหม่อมฉัน จึงเป็นเหตุให้เกิดมาด้วยรูปกายของนาค หม่อมฉันจึงกระทำบูชาต่อพระบรมสารีริกธาตุนี้ ด้วยหวังว่าจะขจัดโทษบาปนั้นลงเสียได้ หม่อมฉันจึงอยากให้พระราชาเสด็จไป ทอดพระเนตรและบูชาสักการะพระธาตุนั้นด้วยพระองค์เอง”
————————-
無憂王見已,懼然謂曰:「凡諸供養之具,非人間所有也。」
ครั้นพระเจ้าอโศกได้ทอดพระเนตรแล้ว ถึงกับตกพระทัยแล้วตรัสว่า “เครื่องบูชาสักการะทั้งหลายเหล่านี้ ในโลกมนุษย์หามีผู้ใดมีไว้ครอบครองไม่”
————————-
龍曰:「若然者,願無廢毀。」
นาคนั้นจึงว่าว่า : “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันขอวิงวอน ขอจงอย่าได้รื้อถอนทำเสียหายแก่ที่แห่งนี้เลย”
————————-
無憂王自度力非其疇,遂不開發。出池之所,今有封記。
พระเจ้าอโศก ประเมินพระองค์แล้วว่ามีกำลัง ไม่สมกับพรรคพวกเหล่านั้น จึงละทิ้งความประสงค์ที่จะเปิดพระสถูป ในสถานที่ออกจากสระนั้น ในบัดนี้มีแผ่นจารึกตั้งอยู่
————————-
หมายเหตุ
[1] 印度境 สินธุประเทศ มักแปลไทยว่า ดินแดนอินเดีย หรือ ประเทศอินเดีย
印度 (Yìndù : อิ้นตู้) เป็นรูปแบบการทับศัพท์ เรียกดินแดนอินเดียโบราณในสมัยราชวงศ์ถังรูปแบบหนึ่งในหลายๆ รูปแบบ ศัพท์นี้พระอาจารย์เสวียนจั้ง ได้อธิบายว่า และเป็นการทับศัพท์ที่ออกเสียงใกล้เคียงกว่ารูปแบบอื่นมากที่สุด คำที่ใช้เรียกดินแดนนี้น่าจะมาจากคำว่า พระจันทร์ ในภาษาสันสกฤต คือ อีนฺทุ (ईन्दु : Īndu : อ่านว่า อีน-ดุ)
มีการศึกษาเพิ่มเติมในว่า อาจมาจากคำในช่วงร่วมสมัยเดียวกัน ภาษาโตคาเรียน ในอาณาจักรกุฉา เรียก ดินแดนอินเดียโบราณ ว่า เยนตุเก ( yentuke: เยนฺตุเก) ซึ่งยืมมาจาก ฮินดุกะ( hinduka) ในกลุ่มภาษาอิราเนียนโบราณ ซึ่งรากศัพท์มาจาก ภาษาเปอร์เซียโบราณ สมัยอะคีเมนิดอีกที (กล่าวในข้อความถัดไป)
และหาก 印度 มีเสียงคล้ายเดิมคล้ายกับกับคำว่า ईन्दु (อีน-ดุ) ก็ละม้ายกับการเรียกดินแดนอินเดียโบราณ ของพวกเปอร์เซีย และพวกกรีกและกรีกอาณานิคมในอินเดียเหนือและเอเชียกลางในสมัยก่อนหน้า โดยเรียกว่า ดินแดนอินเดีย แบบกรีกว่า อินโดส Ἰνδός (Indós) ซึ่งมาจากคำว่า ฮินดูซ (hindūš) ในภาษาเปอร์เซียโบราณ สมัยอะคีเมนิด อันเป็นคำเรียกชื่อแม่น้ำสินธุ และดินแดนในลุ่มน้ำสินธุ
ดังนั้นในที่นี้ขอใช้ศัพท์ว่า สินธุ แทนคำว่า อินเดีย อันเป็นคำภาษาละตินที่ภาษาอังกฤษยืมมาในชั้นหลัง
———————————-
[2] 尺 ฉื่อ (หรือ เชี่ยะ เฉี้ยะ ในฉบับแปลไทยอื่นๆ ) ในสมัยราชวงศ์ถัง มีความยาวประมาณ 24.75 ซ.ม ดังนั้น 100 ฉื่อ ประมาณ 24-25 เมตร ส่วนคำว่าสูงน้อยกว่า 100 ฉื่อ (สูงไม่ถึง 100 ฉื่อ) (高減) เป็นสำนวนการกะระยะอย่างหยาบ แต่ไม่สามารถระบุเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงได้ โดยใช้ความรู้สึกเทียบกับสิ่งเคยเห็นมาก่อนในความสูงหรือยาวที่ระบุไว้ ว่าต่ำกว่า ซึ่งความสูงจริงอาจจะต่ำกว่า 24-25 เมตร อยู่มาก
แม้ในบันทึกการเดินทางของพระฟาเหียน ( ฝาเสี่ยน) ก็ใช้สำนวนอย่างนี้ จากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกน้อยกว่าหนึ่งโยชน์ ก็ถึงเมืองกปิลวัสตุ (從此東行減一由延到迦維羅衞城)
Be the first to comment on "พระธาตุข้าใครอย่าแตะ เรื่องเล่าของเหล่านาคแห่งรามคามสถูป ในพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ"